วันพฤหัสบดีที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

คิดไปเอง เชื่อไปเอง


คิดไปเอง เชื่อไปเอง


ในยุคที่โลกไร้พรมแดน แต่มีบางแดนดินเป็นถิ่นของผู้มีอำนาจเพียงไม่กี่คนที่ยึดเกาะคุมบังคับบัญชาให้ทุกผู้คนต้องทำตาม กำหนดเขตแดนเพื่อข้าฯแต่เพียงผู้เดียว ทรัพย์สินทรัพยากร ในดินแดนนี้ต้องเป็นของข้าฯและบริวารเท่านั้น โดยที่คิดไปเองว่าทุกผู้คนคงสามิภักดิ์รักและเชื่อฟังข้าฯอย่างงมงาย คิดไปเองและเชื่อไปเองว่าไม่มีใครที่จะกล้ามาต่อกร เพราะข้าฯมีทั้งเงินตรา ศาสตราวุธ กองทหาร อยู่ในกำมือ ปกครองคนตามใจตัวเอง ผู้นำที่อยู่ในอำนาจที่ยาวนานเกินไปโดยไม่ให้ใจ ไร้เมตตาต่อประชาชน ก็จะถูกประชาชนโค่นล้ม การเป็นผู้นำที่ใช้แต่อำนาจ ไร้ความเมตตา วันหนึ่งก็ต้องจากลา ลงจากอำนาจอย่างเจ็บปวด คนที่เสพย์ติดอำนาจ อำนาจย่อมทำร้ายตนเอง ก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่เสพย์ติดยาเสพติด ยาเหล่านั้นก็ย้อนกลับมาให้โทษฉันใดก็ฉันนั้น


และสิ่งเหล่านี้ได้เกิดขึ้นแล้ว ได้เกิดการจัดระเบียบบริหารและปกครองใหม่ในประเทศแถบแอฟริกาและอาหรับตะวันออกกลางกำลังเป็นโดมิโนลามไปอย่างรวดเร็ว ก็คงถึงยุคปิดฉากของผู้ที่ผูกขาดอำนาจไว้แต่เพียงผู้เดียว และแม้ว่าในบางเขตบางประเทศจะมีการสูญเสียชีวิตของผู้คนไปเป็นจำนวนมาก เพราะคนที่มีอำนาจมิอาจจะยอมรับการสูญเสียอำนาจอย่างง่ายดายได้ จำต้องใช้ทุกสรรพสิ่งที่คุมอยู่ไปต่อกรต่อประชาชน โดยผู้มีอำนาจเหล่านั้นคิดไปเอง เชื่อไปเองทั้งสิ้น ก็คงจะอยู่ในโลกหลงอำนาจของตัวเอง โดยอาจจะมีเพื่อนสนิทที่ชื่อว่าบ้าคลั่งเป็นเพื่อนร่วมทางที่มุ่งสู่ความโดดเดียวในวาระสุดท้ายปลายลมหายใจสุดท้าย..


กลับมาดูที่บ้านเมืองของเรา ในยุคสังคมบริโภคล้นเมืองแต่คนกลับต้องมาต่อแถวเรียงคิวซื้อเครื่องบริโภคอุปโภค เพราะเราก็ถูกทำให้คิดไปเอง เชื่อไปเองในหลายๆเรื่องจนกลายเป็นความชินชาและสามัญประจำสังคมไปเสีย ก็อย่างเช่นเรื่องน้ำมันปาล์มไง ใครจะไปเชื่อว่าวันหนึ่งในยุคของการบริโภคล้นหลาก ต้องบากหน้ามาต่อแถวซื้อน้ำมันพืชคนละ 2 ขวด นี่มันปัญหาระดับชาติเลยนะครับ


ในสมัยหนึ่งใครก็ไม่รู้ที่เป็นตัวการที่สร้างความเข้าใจว่าน้ำมันพืชกินแล้วปลอดภัย เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าน้ำมันหมู ปลูกฝังความคิดนี้จนทำให้ผู้คนทั่วไปคิดไปเอง เชื่อไปเอง ซื้อไปเองโดยอัตโนมัติเมื่อเดินเข้าไปในห้างสรรพสินค้า เราลายเป็นทาสน้ำมันปาล์มมานานปี จนทำให้มีอุตสาหกรรมน้ำมันพืชเกิดขึ้นอย่างมากมาย (ซึ่งล้วนแล้วเป็นเครือญาติกับผู้มีอำนาจสืบทอด(ใช้น้ำมันปาล์มทอดด้วย)มาในทุกสมัย) และพวกนี้ก็กรอกหลอกให้เราเชื่อไปเองว่ากินแล้วดี ทั้งๆที่มีวารสารทางสุขภาพ มีนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ชาวสหรัฐออกมาพิสูจน์แล้วว่า น้ำมันพืชที่ผ่านกรรมวิธีทางเคมีที่ทานกันอยู่ทุกวันนี้มี อันตราย ทำให้อาหารกลายเป็น ยาพิษ ในหลายๆ เมืองของสหรัฐเขาเตือนให้ประชาชนทราบ และธุรกิจอาหารประเภทฟาสต์ฟู้ดใหญ่ๆ ของสหรัฐ ก็เลิกใช้น้ำมันพืชที่ผ่านกรรมวิธีนี้กันแล้วจะบอกให้....


อุณหภูมิในร่างกายคนเราอยู่ที่ประมาณ 37 องศาฯ ด้วยอุณหภูมิระดับนี้ เมื่อน้ำมันพืช-น้ำมันปาล์มเข้าไปในร่างกาย จะกลายเป็น กาวเหนียวๆ เกาะติดตั้งแต่ผนังลำคอ ลำไส้เล็ก ลงไปถึงลำไส้ใหญ่ และเขายังค้นพบอีกว่าน้ำมันจากสัตว์ และน้ำมันมะพร้าว เมื่อเข้าไปอยู่ในร่างกายคนเรา จะไม่เป็นไข และละลายกับน้ำได้ ทำให้ผนังลำไส้เล็กดูดซึมสารอาหารต่างๆ ไปหล่อเลี้ยงร่างกายได้คนในประเทศยุโรปก็กำลังหันมารับประทานมะพร้าว คิดค้นเครื่องสำอางที่ทำจากมะพร้าวกันอย่างเอิกเกริก เค้าว่าดีกว่าปาล์ม อันนี้ก็อย่าเพิ่งเชื่อเดี๋ยวจะตกบ่วงเหมือนปาล์มอีก...


ทุนนิยมเข้ามามีบทบาทกับชีวิตผู้คนมากเกินงาม ต่างคนต่างคิดระบบกลไกการตลาด จ้างนักวิชาการวิชาเกินออกงานวิจัยมาต้มผู้คน หลอมชุดข้อมูลให้เข้าไปในเส้นเลือด กลายเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตไปอย่างไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว มารู้อีกทีก็ไม่สามารถย้อนกลับคืนสู่วิถีชีวิตแบบเก่าๆได้อีกแล้ว ได้แต่คิดถึงกากหมูที่เหลือจากการเคี่ยวข้นเพื่อเอาน้ำมันออกไปใช้ กากหมูร้อนๆปนน้ำปลาสักหน่อยกับข้าวสวยร้อนๆสักจาน เป็นเพียงความทรงจำเมื่อครั้งกาลก่อน แล้วเราทำไมต้องใช้น้ำมันปาล์มด้วยล่ะ ยังงงอยู่...


เมื่อเราไปให้ความสำคัญกับคนที่มีอำนาจ(รวมทั้งในด้านการตลาด ในด้านการเศรษฐกิจด้วย) เราก็จะถูกปลูกฝังด้วยชุดความคิดของคนผู้นั้น คนกลุ่มนั้นจนทำให้เราคิดไปเอง เชื่อไปเองว่าสิ่งนั้นดี สิ่งนั้นปลอดภัย แล้วก็ทำตามๆกันมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมีเหตุให้เราเริ่ม เอ๊ะ เริ่มรับไม่ได้ เมื่อนั้นเราจึงเข้าใจว่าแท้จริงแล้วเราก็คือเหยื่อของการตลาด เหยื่อทางอำนาจของคนบางกลุ่มไปเสียแล้ว และนับจากนี้การเปลี่ยนแปลงฐานความคิดของคนก็จะเกิดขึ้น เพื่อนำไปสู่ชุดข้อมูลใหม่ที่จะถูกฝังลงในสมองเรา จะดี จะถูกหรือเปล่า วันเวลาพิสูจน์ความจริงได้ กลับไปทานอาหารต้มๆกันดูบ้างหลังจากที่ถูกต้มมาเสียนาน


ใช่หรือไม่ ที่เราคิดไปเอง เชื่อไปเอง ล้วนแล้วแต่มาจากผู้อื่นครอบงำทั้งสิ้น แต่ลึกลงไปอีกก็เพราะในชีวิตเราเต็มล้นไปด้วยความกังวล ไม่เว้นแม้กระทั่งการกิน การดื่ม กินนี่จะอ้วนไหม กินนั่นมะเร็งจะมาเยือนไหม ดื่มน้ำ B… จะได้ฉลาด (ที่ไหนได้โง่ให้เค้าหลอกตั้งแต่ไปซื้อแล้ว) เราใส่ใจแต่เรื่องภายนอกแต่เรื่องใจเรากลับละเลย ปล่อยให้ร่างกายมีอำนาจครอบครองจิตใจ ทั้งๆที่จริงแล้วจิตใจย่อมอยู่เหนือร่างกาย ชีวิตจิตย่อมสำคัญกว่าอาหารและเครื่องนุ่งห่ม เลิกกังวลถึงวันพรุ่งนี้ เพราะแต่ละวันมีความทุกข์มากพออยู่แล้ว อย่าคิดไปเอง เชื่อไปเอง เพราะนั่นคือหนทางในการเพิ่มความทุกข์อย่างไม่รู้ตัว ในแต่ละวัน...


ไม่มีความคิดเห็น: