วันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ใช้พระเจ้าอย่างสิ้นเปลื้อง

ใช้พระเจ้าอย่างสิ้นเปลื้อง

กลางคืนสงัด สรรพเสียงสงบ ความมืดมิดเข้าปกคลุม แต่..สำหรับคนที่อยากจะข่มตาหลับ ค่ำคืนนี้ใยมีแต่ความสับสน วุ่นวาย และว้าวุ่น ลุ้นให้เวลาเดินอย่างรวดเร็วแต่กลับดูเหมือนยิ่งเชื่องช้า เสียงแห่งกลางวันกาล คือสิ่งที่ปรารถนาจะได้ยิน ไม่อยากจมอยู่ในความเงียบสงัด สลัดไม่ออกจากความกระสับกระส่าย จุดหมายคือแสงแห่งวันใหม่

ในค่ำคืนที่แสนยาวนานเยี่ยงนี้สิ่งเดียวที่ทำได้ คือ การควบคุมความคิดไม่ตะเหลิดเปิดทางไปสู่เรื่องใหม่ๆ พยายามรวมจุดศูนย์กลางอยู่ในเรื่องเดียว พระเจ้าข้า...โปรดประทานการพักผ่อนแก่ข้าฯด้วยเถิด

แล้วเสียงๆหนึ่งก็หลุดลอดออกมาจากห้วงมโนสำนึก ใยเราต้องอิงแอบ แอบอ้างพระเจ้าในทุกกรณี ใช่แหละ... พระองค์ คือ องค์บรรเทา แต่ตัวเราหลายครั้งหลายหน ก็ฉกฉวย สร้างเกราะ สร้างกำบังโดยใช้พระเจ้าอย่างสิ้นเปลื้อง ทุกกิจการที่ทำก็อ้างแอบทำเพื่อพระองค์ แท้จริงแล้ว เราก็ทำเพื่อตัวเรา สร้างชื่อ ปั้นกระแส ให้คนแห่แหนห้อมล้อม ให้คนสรรเสริญ เราหาได้เป็นลูกที่ดีของพระองค์ไม่ เราใช้สิ่งที่พระองค์ให้เราครอบครองอย่างไร้รอบคอบ เราก็ไม่ต่างจากลูกที่ไม่ยอมทำอะไร ไม่ได้ไม่ดีก็อ้างชื่อพ่อชื่อแม่ รู้หรือเปล่าว่ากรูลูกใคร และการทำร้ายพระเจ้าอย่างเจ็บแสบที่สุดก็อาจจะมาจากการหยิ่งผยองลำพองในตน ของเราแต่ละคนก็ได้...

มีหนุ่มเจ้าสำราญผู้หนึ่ง วันๆไม่ยอมทำประโยชน์อะไร ดีแต่เที่ยวเล่นไปวันๆ ทั้งๆที่อายุอานามก็สมควรแก่การสร้างเนื้อสร้างตัว สร้างฐานะและมีครอบครัวได้แล้ว แต่เขาก็ไม่เคยคิดจะมีความรับผิดชอบ ไม่คิดอยากจะรับภาระอะไรใดๆทั้งสิ้น ด้วยเห็นว่า เป็นหน้าที่ของพ่อแม่อยู่แล้วที่ต้องหาเงินหาทองไว้ให้ลูก และกิจการที่บ้านนั้น ทั้งพ่อและแม่ต่างช่วยกันทำมาหากินอย่างขยันแข็งจนเงินทองที่มีอยู่ชาตินี้ก็คงใช้ไม่หมด

วันหนึ่ง ชายหนุ่มผู้นี้และเพื่อนๆอีก 2-3 คน พากันเข้าป่าหมายจะไปล่าสัตว์ แต่เมื่อเดินเข้าป่าไปได้สักพักใหญ่ เขาก็เกิดพลัดหลงกับเพื่อน ชายหนุ่มจึงเดินลัดเลาะไปเรื่อยๆอย่างไม่รู้จุดหมาย เขาเริ่มหลงทางเขาเริ่มรู้สึกอ่อนเพลียแต่ก็ต้องหาทางเดินต่อไปเมื่อพระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า บรรยากาศรอบข้างมืดลง ไม่เห็นหนทางเขาจึงทิ้งตัวลงนอน ด้วยความหิวโหยและหมดแรง

รุ่งขึ้น..เขายังคงเดินต่อไป เพื่อหาทางออกจนกระทั่งพระอาทิตย์กำลังจะลับเหลี่ยมเขาอีกครั้ง แต่ขณะที่เขากำลังจะทิ้งตัวลงอย่างสิ้นหวัง เขาก็เหลือบไปเห็นแสงไฟจากกระท่อมกลางป่าหลังหนึ่ง เขาจึงรวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่รีบวิ่งไปยังกระท่อมนั้นและได้พบสามี ภรรยาคู่หนึ่ง ซึ่งเมื่อไต่ถามความเป็นมาของชายหนุ่มแล้ว ทั้งคู่ก็บอกให้ชายหนุ่มไปอาบน้ำอาบท่า แล้วจัดแจงหาข้าวปลาอาหารมาให้กินคืนนั้นชายหนุ่มจึงหลับไปด้วยความสุข

วันรุ่งขึ้น ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาด้วยความแจ่มใสและรู้สึกตื้นตันใจในความเมตตากรุณาของสองสามีภรรยาเป็นอย่างมาก เขาจึงกล่าวขึ้นว่า

ข้าขอขอบคุณท่านทั้งสองที่ได้ช่วยชีวิตข้าในครั้งนี้แม้เราไม่เคยรู้จักกัน แต่พวกท่านก็ให้การดูแลข้าอย่างดีข้าไม่รู้จะตอบแทนอย่างไร จึงจะทดแทนน้ำใจของพวกท่าน ได้

ฝ่ายภรรยาจึงยิ้มให้อย่างอ่อนโยน แล้วตอบว่า

หนุ่มน้อย ถ้าเจ้าอยากตอบแทนละก็กลับไปทดแทนบุญคุณพ่อแม่ของเจ้าเถิดพวกเขาเลี้ยงดูอุ้มชูเจ้ามาให้ทั้งข้าวปลาอาหารน้ำท่าที่พักพิง จนเติบใหญ่เพียงนี้บุญคุณนั้นใหญ่หลวงนัก เราสองคนแค่ให้ที่พักพิงเจ้าชั่วข้ามคืนหนึ่ง เทียบกับพ่อแม่เจ้าไม่ได้หรอกได้ฟังดังนั้น ชายหนุ่มจึงคิดได้ว่า เขาเป็นผู้ที่หลงทางจริงๆ

และสำหรับเรากำลังหลงทางกันอยู่หรือเปล่า.. เคยคิดตอบแทนพระเจ้าโดยไร้ผลประโยชน์แอบอ้างบ้างหรือเปล่า บ่อยครั้งเราคิดว่าทุกกิจการที่ทำนั้น ทำเพื่อพระองค์ แต่สำหรับพระองค์นั้นคงไม่ต้องการให้ใครทำอะไรให้ สิ่งที่พระองค์ปรารถนา คือ ต้องการให้เรามีจิตใจ จิตวิญญาณที่ค่อยๆสูงขึ้น โดยมีคุณงามความดี ที่หมั่นกระทำหนุนนำส่ง เพื่อที่เราจะได้อยู่กับพระองค์ ช่วยเหลือพระองค์ โดยมีหนทางการดำเนินชีวิตที่เป็นแบบอย่าง ให้ผู้คนอีกมากมายที่กำลังทลายความเป็นคนด้วยความโลภ และการไม่รู้จักพอ ไม่รู้จักอิ่ม การเอารัดเอาเปรียบ เพื่อให้สังคมโลก เพื่อให้ทุกคนหันกลับมาสู่ความจริง ชีวิตมีเป้าหมายอยู่ที่การยกระดับจิตวิญญาณให้กลับไปหาพระองค์ อย่าใช้พระเจ้าสิ้นเปลื้อง

ราตรีที่แสนยาวนานจบสิ้นลง แล้ววันใหม่ก็เริ่มขึ้น ขอบคุณพระเจ้าที่ประทานวันเวลา ลมหายใจ และความรักของคนรอบข้างให้แก่เรา ขอบคุณพระองค์สำหรับบทเรียนในกลางคืนที่แสนสับสน จากนี้ไป ทุกกิจการที่ทำจะทำเพื่อให้โลกยังคงความดีต่อไปตราบนานเท่านาน.....

ไม่มีความคิดเห็น: