โลกสวนทาง
มีคำพูดหนึ่งที่ได้ยินได้ฟังแล้วรู้สึกสะอึกเล็กน้อยถึงปานกลาง คำพูดนั้นก็คือ คนไทยสมัยนี้เลี้ยงลูกไม่เป็น เป็นปัญหาใหญ่ระดับชาติเลยทีเดียว ถึงขั้นว่าแค่เด็กคนหนึ่งเก็บที่นอนตัวเองได้ ก็เป็นความภาคภูมิใจของคนเป็นพ่อเป็นแม่สมัยนี้แล้ว เที่ยวเอาไปคุยไปอวดสามวันเจ็ดคืน เมื่อเห็นแล้วก็อดแปลกใจไม่ได้ว่า ก็แค่เก็บที่นอนเป็นนี่นะ และถ้ายิ่งกวาดบ้านถูบ้านเป็น มิจัดส่งเข้าประกวดนางงามเลยหรือ ใช่..ยุคสมัยเปลี่ยนวิถีครรลองในชีวิตก็ย่อมเปลี่ยน แต่สิ่งที่น่าเสียดาย คือ คนรุ่นใหม่บางครั้ง ก็แค่เรื่องเล็กๆน้อยๆส่วนตัวยังทำไม่ได้ และจะหวังให้ทำเพื่อส่วนรวมได้ไง.. ใช่อีกแหละหลายสิ่งหลายอย่างก็มาจากการสั่งสอนอบรมของคนรุ่นเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
หลายครั้ง หลายหน หลายวิธีการที่เราได้รับการสั่งสอนมา หรือที่เรากำลังสั่งสอนเด็กๆลูกๆหลานๆเราอยู่นั้น หากมาลองย้อนดูกันให้ดีๆ มีบางสิ่งบางอย่างขัดแย้งกับหลักหมายปลายทางของคำสั่งสอนนั้น ใช่หรือไม่ การสอนให้เด็กรู้จักจิตสาธารณะ รู้จักเสียสละ โดยมีคะแนนและรางวัลเป็นผลกำนัล นำมาซึ่งการแข่งขันกันทำเพื่อได้หน้าได้ตาในวันที่ก้าวสู่ความเป็นผู้ใหญ่อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว เราจึงเห็นคนจำนวนไม่น้อยลอยหน้าลอยตาแข่งขันกันทำงานสาธารณะ ทุ่มสุดตัวทำบุญเพื่อหวังได้รับเข็มเชิดชู เพื่อได้รับขั้นได้รับการเลื่อนยศ
การให้เด็กเก็บแต้มสะสมการทำความดีเพื่อให้มีจำนวนมากครั้ง ก็เป็นการสอนให้เราเดินเข้าสู่กองกิเลสด้วยมีความดีเป็นใบเบิกทางชั้นยอด การสั่งสอนประเภทนี้เป็นอันตรายต่อสังคม ยิ่งในยุคสมัยใหม่นี้ที่ทำทุกอย่างต้องมีผลตอบแทน ย่อมต้องมีการคำนวณค่างวด ค่าใช้จ่ายในทุกเรื่องที่ทำในชีวิต อันไหนมีกำไรจึงจะทำ อันไหนไม่ได้รับการกล่าวขาน ละเลยการยกย่องก็ยกยอดให้คนอื่นดำเนินการ ความเสียสละในส่วนรวมก็ลดน้อยถอยลงไป
ซ้ำร้ายกว่านั้นวิธีการที่ทำอะไรต้องมีการเก็บสะสมคะแนนอาจจะเป็นที่มาของกลโกงที่แยบยล เป็นที่มาของการสะสมอย่างไม่พอ กอบโกยโดยมิรู้อิ่ม เป็นที่มาของการว่าใส่ร้าย นินทาด่ากราดเปิดโปง จ้องทำร้ายจิตใจคนอื่นอย่างโหดเหี้ยม โดยใช้ความยุติธรรมนำหน้า นี่เป็นความโหดร้ายขั้นพื้นฐานของสังคม ที่กำลังกระทำต่อกันทั้งแบบรู้ตัวและไม่รู้ตัว
แล้วสิ่งใดเล่าที่จะทำให้เรายืนอยู่ในโลกสวนทางเช่นนี้ได้อย่างองอาจ อย่างเต็มภาคภูมิ สิ่งแรกต้องรู้จักที่จะยึดโยงจุดหมายหลัก ประเด็นใหญ่ ต้องสร้างความเข้าใจให้กับสำนึกของแต่ละคน อธิบายถึงเนื้อหาสาระของสิ่งที่สั่งสอนให้ผู้กระทำอย่างชัดเจนถึงแก่น อย่าเพียงบอกผ่านแค่วิธีการ ไม่เช่นนั้นแล้ว...เรากำลังสอนคนให้เป็นโจรอย่างไม่รู้ตัว....
มีโจรลักเล็กขโมยน้อยผู้หนึ่ง ลักขโมยของตั้งแต่เล็ก โจรกรรมจนถึงอายุห้าสิบปี เป้าหมายของเขาคือเศรษฐีในวงสังคมชั้นสูง เข้าๆออกๆคุกคุมขังอย่างกับเข้าร้านสะดวกซื้อที่ชื่อเลขเจ็ดนำหน้า ตลอดเวลายี่สิบกว่าปี เวลานี้เขาได้ตัดสินใจล้างมือเลิกทำความผิดอย่างมุ่งมั่น และที่สุดเขาก็ได้กลายเป็นคนดังได้ออกสื่อ
ผู้สื่อข่าวคนหนึ่งได้ซักถามเขาว่า
“ระหว่างที่คุณเป็นหัวขโมย ลักขโมยเงินทองมากมายถึงเพียงนี้ เศรษฐีรายใดได้รับความเดือดร้อนมากที่สุด?”
โจรผู้กลับใจตอบด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้งว่า
“ผู้ที่ถูกโจรกรรมมากที่สุดไม่ใช่ใครอื่น คือตัวข้าเอง บางทีถ้าหากข้าขยันขันแข็ง อาจเป็นพ่อค้าที่ประสบความสำเร็จ แต่แล้วข้าเลือกอาชีพหัวขโมย ทิ้งชีวิตกว่าครึ่งชีวิตไว้ในเรือนจำ ฉะนั้นข้าเป็นผู้ที่ได้รับความเสียหายมากที่สุด”
ในชีวิตประจำวัน เราก็มักเข้าใจเอาเองว่าตัวเราได้เปรียบผู้อื่นอยู่มากมายหลายขุม เราเก่ง เรามีดีกว่าคนอื่นอยู่หลายช่วงตัว ก่อให้เกิดความละโมบโลภมากต่อผลประโยชน์เล็กๆน้อยๆ แต่ขณะเดียวกัน ใช่หรือไม่ เราก็ได้สูญเสียหลายอย่างไปในชีวิตเช่นกัน สูญเสียความเป็นมนุษย์ที่มีศักดิ์ศรีที่เกิดมาต้องกระทำเพื่อผู้อื่น เราสูญเสียจิตบริสุทธิ์ในวันแรกเกิดที่ไร้อาภรณ์ติดตัว เราสูญเสียความรักความเมตตาที่เราถูกส่งผ่านมารุ่นต่อรุ่นแต่มาหยุดตรงรุ่นเรา เราสูญเสียความสุขอันเป็นนิรันดร์เพียงเพื่อแลกกับความสะดวกเพียงชั่วข้ามวันพ้นคืน
โลกมีสองทาง ย่อมสวนทางให้เดินได้เสมอ และไม่ว่าเราจะกำลังเดินอยู่บนหนทางข้างใด หากเรามีใจที่พร้อมรู้ จิตที่สนิทเป็นหนึ่งเดียวกับองค์พระผู้เป็นเจ้า เราย่อมรู้ว่าทุกสรรพสิ่งสร้างบนโลกนี้ถูกสร้างมาเพื่อทุกผู้คน แต่มันคงไม่พอเพียงสำหรับผู้ที่ชอบสะสมเพียงคนเดียว แม้กระทั่งวันเวลาของชีวิตเรา แท้จริงมันไม่ได้เป็นของเรา เราเป็นเพียงผู้ดูแล เป็นผู้รักษา ฉะนั้นแล้วอย่าได้ยึดโยง ยึดครอง สะสม เพราะชีวิตไม่ใช่มีไว้ให้เก็บคะแนนสะสมแต้ม ชีวิตนี้มีไว้ให้กันและกัน มีไว้ให้เพื่อผู้อื่นในนามของความเสียสละ นี่คือผู้ที่เป็นศิษย์พระคริสต์ที่แท้จริงต้องปฏิบัติตาม...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น