ใกล้ตาหาได้ใกล้กัน
เคยคิดเล่นๆว่าไอ้อารมณ์เหงาๆ อารมณ์ที่รู้สึกโดดเดี่ยวของมนุษย์เรานี้มันเกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรกัน!!!! ใครหนอเป็นเจ้าของความเหงาคนแรก และด้วยอารมณ์เหงาแบบนี้หรือเปล่า จึงทำให้คนเราเริ่มต้นที่จะมองหาใครสักคนมาเป็นเพื่อน จากเพื่อนคนหนึ่งกลายเป็นสองเป็นสาม เป็นกลุ่มเป็นก้อนเป็นสังคมขึ้นมา วัฒนธรรมของการอยู่ร่วมกันเป็นหมู่คณะของเราเริ่มต้นมาจากความโดดเดี่ยว ความกลัว ความเหงาหรือเปล่า ...เราไม่รู้ รู้แต่ว่าอย่างน้อยในชีวิตของเราทุกคนต่างต้องการมีเพื่อน ต้องการมีคนที่สนิทสนม คนที่จะพูดคุยกันได้ แบ่งทุกข์ปันสุขกันได้ ถึงจะมีมากน้อยแตกต่างกัน แต่ทุกคนล้วนมีกลุ่มชนคนของตัวเอง
โลกนี้เดินทางสู่ปีที่เท่าไหร่แล้วก็ยากที่จะบ่งบอก แต่ที่แน่ๆในทุกยุคทุกสมัย มนุษย์เรามักค้นคิด ค้นคว้า หาทางติดต่อสื่อสาร แสวงหาการพบปะสังสรรค์ รวมหมู่อยู่ร่วมด้วยกัน และมาถึงวันนี้ วันที่เทคโนโลยีสร้างโลกให้ไร้พรมแดน ติดต่อสื่อสารกันได้แม้ไกลคนละฟากฟ้าฟากฝั่ง สร้างชุมชนคนกันเองได้ง่ายขึ้น รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนในโลกไซเบอร์ เป็นคนที่พูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติ แลกเปลี่ยนแง่มุมความคิด โดยไม่จำเป็นต้องเห็นหน้าค่าตา โดยไม่จำเป็นต้องรู้จักมักคุ้น โลกแห่งการสื่อสารแนวใหม่ สร้างหนทางใหม่ผ่านเครื่องมือที่เพียงใช้นิ้วสัมผัส ก่อเกิดวัฒนธรรมใหม่ตามมา ...
เมื่อสิ่งใหม่เกิดขึ้นมา คุณค่าของสิ่งเก่าๆก็ถูกลดทอน สิ่งที่งดงามกลับห่างหายไปจากชีวิตเราอย่างน่าใจหาย ในบางครั้ง นั่งอยู่ใกล้ๆกันแค่เอื้อมมือมดแต่กลับจดจ้องส่งข้อความผ่านเครื่องสื่อสารหากัน ตาไม่จ้องตา แต่ตาจ้องจอ แล้วจะรู้ใจกันได้อย่างไรเล่าใช่หรือไม่ บ่อยครั้งเราอยู่กับเพื่อนคนหนึ่งแต่เรากลับไปพูดคุยกับเพื่อนอีกคนหนึ่ง ใช่หรือไม่ ฉัน-เธอ เพื่อนเกลอเก่านั่งกินข้าวด้วยกัน แต่ความสัมพันธ์ฉันกลับส่งไปให้คนไกลคนใหม่ ใช่หรือไม่ ความสำคัญของคนใกล้ตาเริ่มจางลง เราไม่ค่อยพูดคุยกันต่อหน้า ไม่ค่อยได้ฟังความคิดเห็นของคนที่อยู่ตรงหน้า แต่เรากลับเชื่อฟังคนที่ไกลตาแต่ใกล้หู (เพราะคุยกันทางโทรศัพท์มือถือ) เต็มร้อย และมักชื่นชมคนที่อยู่ไกลตา ยกย่องคนที่ห่างไกลแต่กลับละเลย เมินเฉยคนอยู่ใกล้ตา
การสื่อสารผ่านหน้าจอที่รวดเร็วทันสมัยที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่ในวันนี้ก็หนีไม่พ้น Twitter และ facebook ด้วยความที่ลึกๆแล้ว เราต่างก็อยากเป็นคนเด่นคนดัง เมื่อระบบการสื่อสารเอื้ออำนวยให้เราสร้างความปรารถนาส่วนลึกให้เป็นจริง เราเลยอยู่นิ่งไม่ได้ สร้างพื้นที่บนโลกไซเบอร์เป็นของตัวเอง เพื่อให้เป็นที่รู้จักของคนอื่น นี่เป็นที่มาของความนิยมที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในเวลาอันรวดเร็ว จนกลายเป็นสิ่งเสพย์ติดชนิดใหม่ของใครหลายคน เพราะเป็นการสร้างสังคมที่เร็วและง่ายดาย มีเพื่อนพูดคุยมากหน้าหลายตา จริงบ้างปลอมบ้างก็ขำขำกันไป
การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่หากให้มีประโยชน์ต้องใส่จิตวิญญาณแห่งความเป็นมนุษย์ลงไปด้วยและต้องไม่ละเลยเรื่องของจรรยามารยาท อย่าหลงไปกับการโฆษณาตัวเองจนเกินงาม หยุดสร้างตัวตนจอมปลอมของเรา เพราะมันอาจจะทำให้เราเคลิ้มเป็นอย่างนั้นไปได้ในที่สุด การได้เป็นดาราในชั่วพริบตาด้วยการถ่ายรูปแล้วก็นำไป Post ไว้ให้คนอื่น comment เข้ามา ก็อาจจะทำให้เราหลงใหลได้ปลื้มไปกับคำชมที่ไม่รู้ว่ามาจากใจจริงหรือเปล่า ระวังการบอกเล่าเรื่องตัวเองสู่สาธารณะ จนหลงลืมตัวตนที่แท้จริง Social Network สังคมเครือข่าย แท้จริงแล้วเป้าหมายอยู่ที่การให้ความสนใจใส่ใจคนอื่นอย่างจริงใจก่อน แล้วคนอื่นจึงจะมาสนใจมาเป็นเพื่อน มาเป็นกลุ่มก้อนกับเรา
สิ่งเหล่านี้หากไม่รอบคอบในการใช้เพราะเพลินไปกับการเล่น จาก facebook อาจจะกลายเป็น fakebook ที่มีแต่การหลอกลวง หลอกล่อให้เราหลงลึกลงไปในกระแสแห่งความมืดบอดทางจิตวิญญาณได้ง่าย ข้อความที่ออกจากเราสู่สาธารณะย่อมบอกตัวตนของเราให้คนอื่นรับรู้ ข้อความดีๆการมองโลกหลายๆมุมย่อมบ่งบอกความใส่ใจต่อผู้คนต่อโลกต่อส่วนรวมของเรา ต้องรู้จักความพอดี การคบค้ากันทางออนไลน์ย่อมมีความอ่อนแอทางความสัมพันธ์ ระวังอย่าให้เรื่องของเรากลายเป็นขยะสำหรับคนอื่น ต้องตระหนักว่าจำนวนเพื่อนมากขึ้นแต่ทำให้คุณภาพของมิตรภาพลดลงหรือเปล่า... เทคโนโลยีแย่งพื้นที่และความพะวงกับเครื่องมือสื่อสารมาเบียดเบียนใจที่จะมอบให้กันหมดลงไปหรือเปล่า...เครื่องมือสื่อสารสมัยใหม่ เราใช้มันเพื่ออะไร เพื่อสร้างสัมพันธ์กับคนไกล แล้วลดทอนความสำคัญกับคนใกล้ชิด คนรอบกายน้อยลงหรือเปล่า
เราต้องตระหนักร่วมกันว่าเราใช้สื่อสมัยใหม่เพื่อเป็นเครื่องมือเป็นอุปกรณ์นำความรัก นำพระวาจาของพระเจ้าไปให้ผู้คนที่ห่างไกลได้รับรู้ แต่สำหรับคนใกล้ตา ใจของเราต้องมอบให้กันอย่างหมดหัวใจ ใช่ พระเจ้าสอนให้มนุษย์รู้จักคุณค่าความรักของพระองค์ก็ด้วยการส่งพระบุตรลงมาเป็นมนุษย์ เพื่อให้มนุษย์ได้สัมผัส ได้รับรู้ด้วยหัวใจ เห็นความรักและการเสียสละครั้งยิ่งใหญ่ต่อหน้าต่อตา ทั้งๆที่พระองค์ทรงใช้วิธีการอื่นก็ได้ แต่พระองค์ทรงเลือกพระบุตรสุดที่รักลงมาหามนุษย์ เพราะความรักนั้นต้องใช้ใจสัมผัส ต้องเห็นหน้า สบตากัน พูดคุย สนทนา ด้วยภาษากายภาษาใจ สิ่งนี่คือความใกล้ชิด มิตรภาพที่พระเยซูคริสตเจ้าทรงมอบไว้เป็นมรดกให้กับเราทุกคน....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น