วันพฤหัสบดีที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

น้ำใจในขวดแก้ว

น้ำใจในขวดแก้ว

เวลานี้...เราขาดคนที่จะยอมตนเป็นก้อนอิฐก้อนแรกที่ทิ้งลงไปและก็จมอยู่ที่นั่น เพื่อให้ก้อนอื่นทับถมตนอยู่ที่นั่น และเสร็จแล้วเจ้าก้อนที่จะปรากฏเป็นที่รู้จักของสังคม ก็คือก้อนที่อยู่เหนืออื่นสุด ส่วนก้อนแรก .....ก็จมดินอยู่นั่นเอง

เราหาคนแบบนี้ไม่ค่อยได้ จึงไม่ค่อยมีอะไรที่ใหม่ที่มีคุณค่าออกมา...เพราะน้ำจิตน้ำใจแห่งการเสียสละของเรายังอบรมกันได้ผลน้อยเต็มที่ หรือว่าเราจะไม่เคยเน้นการอบรมเรื่องนี้กันเลยก็ได้...(โกมล คีมทอง)

ได้อ่านถ้อยคำข้างบนแล้ว มองเห็นภาพสังคมเราวันนี้ได้อย่างชัดเจน เราอยู่ในยุคที่เต็มไปด้วยความสุดยอด สุดขีด โลกวันนี้พัฒนาก้าวไกล ระบบการสื่อสารช่วยร่นระยะทาง ระยะเวลา ให้มีการกระชับพื้นที่ติดต่อกันได้ง่ายขึ้น แต่แปลก...ใจคนเรากลับหดสั้นลง ใจคนเรามีพื้นที่แคบลง ถูกกระชับพื้นที่ด้วยความทะนงและความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ เห็นแก่ชื่อและหน้าตา จนกระทั่งมองข้ามความมีคุณค่า ความเป็นรากฐาน ของกันและกัน ระบบสังคมสอนคนให้ลัก ลอบ แอบ หยิบ ผลงานและผลพวงที่ผู้อื่นสร้างขึ้น ขี้ตู่ว่าเป็นของตัวเอง คนต้นคิด คนต้นแบบ มักถูกเฉกให้อยู่ในอาณาเขตของตัวเอง คนที่นำมาขยายผลต้องเป็นคนที่กล้าทรยศต่อต่อมสำนึกและมีจิตพิการเท่านั้นจึงจะทำได้..แต่วันนี้มีคนอย่างนี้เต็มบ้านล้นเมือง

และเมื่อสังคมมีแต่คนประเภทนี้มากขึ้น การมองเห็นทุกเรื่องอย่างไร้สำนึกก็เกิดขึ้น ความเฉยเมยและไม่แยแสต่อกันก็มากขึ้น ทำอะไรก็ทำไปตามผลตอบแทนที่จะได้รับ มีวิถีชีวิตเหมือนหุ่นยนต์กลไก เช้าตื่นมา ไปทำงานในขอบข่าย ขอบเขตของตัวเอง หลบได้เป็นหลีก ปลีกได้เป็นเผ่น เห็นเจ้านายเดินมาทำเป็นเข้มข้นเข้มแข็ง มีโอกาสก็ประจบสอพลอให้พอเป็นที่จดจำตรึงใจ พอพ้นสายตา เปิดคอมฯเข้าไปเม้มท์ นินทาผ่านหน้าจอ จ้ออยู่บน Face Book พอเห็นเพื่อนงานเยอะงานยุ่งก็มุ่งหน้าเดินหนีหลีกไปหาทางที่สำราญราชมากกว่า ใยต้องหาเหาใส่หัว...วัฒนธรรมองค์กรแนวใหม่กำลังเบ่งบานในตึกสูงตระหง่านทั้งหลาย

ใช่หรือไม่ การอบรมเรื่องการเสียสละ การมีน้ำจิตน้ำใจต่อกันมีให้เห็นน้อยลง วันนี้เราเอาแต่ใส่วิธีการให้เด็กเรียนรู้ แต่เรากลับไม่ได้ใส่ใจด้านเนื้อในเพื่อปลูกฝังคุณค่าและค่านิยมแห่งการเสียสละเพื่อคนอื่นให้เด็กๆกันเลย การเสียสละถูกแช่แข็ง น้ำใจถูกยัดใส่ในขวดแก้วและปิดผลึก เพื่อให้มี Package ที่ดูสวยงามก็เท่านั้นจริงๆ

เมื่อพูดถึงตรงนี้ก็นึกถึงนิทานอีสป เรื่องม้ากับลาต่าง

ในฤดูร้อนที่ร้อนอบอ้าวมากของวันหนึ่ง พ่อค้าคนหนึ่งมีความจำเป็นที่จะต้องนำของไปขายในที่ต่างเมือง เขาคิดที่จะถนอมม้าเอาไว้ใช้ ในช่วงเวลาที่มีความจำเป็น เท่านั้น จึงเอาสินค้าทั้งหมดใส่ไว้บนหลังลา ส่วนม้านั้นเขากลับปล่อยให้เดินตัวเปล่าไม่ได้บรรทุกของอะไร ลาเมื่อถูกบรรทุกของหนักๆ และตอนนั้นมันก็กำลังเจ็บอยู่ด้วย มันจึงพูดอย่างน่าสงสารกับม้าว่า ท่านม้า ข้ามีอะไรจะขอร้องให้ท่านช่วยสักอย่างหนึ่งจะได้ไหม ?”

ม้าเมื่อได้ฟังดังนั้น ก็หันมามอง แล้วทำท่าฟังอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจสักเท่าไหร่นัก แต่ลาก็พูดต่อไปว่า ข้าไม่สบาย และกำลังเจ็บอยู่ ช่วยแบ่งของไปจากหลังข้าบ้างเถิด ข้าไปไม่ไหวแล้ว ถ้าท่านช่วยแบ่งเบาภาระอันหนักอึ้งนี้ไปได้บ้าง บางทีข้าอาจจะกลับมีแรงขึ้นมาบ้างก็อาจเป็นได้ ถ้าท่านไม่ช่วย ข้าคงจะต้องตายเป็นแน่ แท้

แต่ม้ากลับตอบมาอย่างโมโหว่า ช่างเป็นเรื่องที่บ้าบอคอแตกอะไรเช่นนี้ เจ้าพูดมาได้อย่างไร เจ้าไม่รู้หรือ....ว่าขาที่สำคัญของข้านี่น่ะมีเอาไว้สำหรับวิ่งให้เร็วแต่เพียงอย่างเดียว แล้วถ้าข้าเกิดมาช่วยเจ้าแบกของหนัก ๆ อย่างนั้น แล้วเกิดขาที่สำคัญของ ข้ามีอันต้องซ้นหรือฝกช้ำดำเขียวขึ้นมาแล้วล่ะก็ ใครจะเป็นคนรับผิดชอบให้ล่ะ เจ้านี่คิดบ้า ๆ เสียจริง ๆ ทนไปอีกหน่อยเถิดเดี๋ยวอะไร ๆ มันก็ดีขึ้นมาเองแหละ อย่าบ่นไปนักเลย

ลาจึงไม่พูดอะไรต่อไปอีก ก้มหน้าก้มตาเดินต่อไป ในไม่ช้ามันก็หมดแรงล้มลงและขาดใจตายไป ตรงนั้น

เจ้าของเมื่อเห็นดังนั้น ก็แก้เอาสินค้าที่อยู่บนหลังลาทั้งหมดเอามาใส่ไว้บนหลังม้า เท่านั้นยังไม่พอยังแถมเอาศพของลาบรรทุกเพิ่มเข้าไปให้อีกด้วย ม้าจึงจำต้องเดินไปบ่นไปว่า พุทโธ่ เอ๋ย เรานี่ชั่วเสียจริง ๆ ไม่รู้จักเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ถ้าตอนนั้นจะช่วยเจ้าลามันสักครึ่งหนึ่ง บางทีมันอาจจะไม่ต้องมาตายไปเสียอย่างนี้ เฮ้อ...แล้วเป็นไงล่ะ เดี๋ยวนี้ ตอนนี้ ต้องมาบรรทุกของหนักอย่างเดียวยังไม่พอ มิหนำซ้ำยังมีศพของเจ้าลามันเพิ่มเข้าไปให้อีก ซวยบรมไปเลยเรา ม้าโง่ไร้นำใจเอย

ใช่หรือไม่ ความเหนื่อยยากทุกข์เข็ญในสังคมวันนี้เกิดมาจากความไร้แล้ง เหือดแห้งน้ำใจ มีแต่การแข่งขันเอาหน้าเอาตา สร้างชื่อ สร้างบารมี ก้าวข้ามหัวกันไปมาเกิดเป็นความเครียดรวมหมู่ กำลังไปสู่โรคมะเร็งสาธารณะ มาช่วยกันเขย่าขวดน้ำใจและเทรินแจกจ่ายให้ทั่วกัน เพื่อสังคม จิตวิญญาณอันงดงามจะได้กลับคืนสู่จิตใจเราทุกคน และที่สุด ต้องตระหนักว่า การแสดงน้ำใจต่อกันหาใช่การทำเพื่อโอ้อวด เช่นนั้นแล้วคุณค่าของมันก็จะลดลงไป...แล้วเราจะให้น้ำใจเราอยู่ในขวดแก้วต่อไปหรือ เชื่ออย่างเต็มร้อยว่า สัตบุรุษวัดเซนต์หลุยส์จะไม่ยอมให้เป็นเยี่ยงนั้นเด็ดขาด...

1 ความคิดเห็น:

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

เขียนได้ดีมาก ขอเป็นกำลังใจตลอดไป