วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

สิ่งที่มีแต่กลับคิดว่าไม่มี

สิ่งที่มีแต่กลับคิดว่าไม่มี
เมื่อ 2- 3 อาทิตย์ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสไปเยี่ยมน้องชายที่เพิ่งได้ลูกชายคนใหม่ ในขณะที่นั่งดูมือเล็กๆ เท้าน้อยๆ แก้มห้อยๆ ของหลานชาย ยิ่งมองยิ่งดู ก็เกิดความคิด เกิดข้อเตือนใจอยู่หลายประการ ใช่หรือไม่ เราก็เคยมีมือมีเท้าเล็กๆเยี่ยงนี้ แต่บัดนี้ได้ผ่านกาลเวลา ผ่านลมผ่านฝน ผ่านผู้คน ผ่านทุกข์ ผ่านสุข ล่วงเลยสู่วงปีชีวิตหลักที่สี่เข้าไปแล้ว เห็นถึงความมหัศจรรย์แห่งชีวิต จากทารกน้อยที่วันๆเอาแต่นอน ตื่นมากินนมแม่ และก็หลับปุ๋ยต่อ กิจกรรมหลักก็มีเพียงเท่านี้ อาจจะมีกิจกรรมเสริมด้วยการออกกำลังปอดด้วยการร้องไห้บ้างเป็นบางโอกาส ในขณะที่หลับใบหน้าของเจ้าหนูน้อยก็มียิ้มเป็นระยะๆ ปากน้อยก็ขยับไปมาเหมือนกำลังพูดคุย ดูเจ้าช่างมีความสุขเหลือล้ำ ใช่...และอีกไม่นาน เจ้าหนูน้อยคนนี้ก็จะค่อยๆเติบโต มือ เท้า ที่เคยเล็กๆ ก็ใหญ่โตตามวัยตามสภาพร่างกายและการกินอยู่ สมอง สติ ก็จะแกร่งกล้าตามการอบรมสั่งสอน และเช่นกันเจ้าหนูน้อยคนนี้ก็จะเดินผ่านทุกข์สุขเฉกเช่นเดียวกับเราทุกคน ต่างกันก็เพียงแต่ว่าขนาดของความทุกข์ความสุข จะมากน้อยแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับวิถีครรลองที่เขาจะเลือกเดิน โดยอาจจะมีเราเป็นเพียงผู้ชี้แนะแนวทางก็เท่านั้น
ภาพของหลานตัวน้อยผุดขึ้นมา ในห้วงขณะเวลาที่มีโอกาสได้เดินทางไปกับคุณวีระพงศ์ ทวีศักดิ์ (ศิลปินพิณแก้ว ที่ไม่ได้เล่นดนตรีแก้วอย่างเดียว แต่บ่อยครั้งคือผู้ไปจุดประกาย สร้างแรงบันดาลใจ สร้างกำลังใจให้แก่ผู้คนมากหน้าหลายตา ไม่เว้นแม้กระทั่งผู้ต้องโทษในเรือนจำ) ครั้งนี้ได้รับเชิญจากผู้บริหารห้างดังแห่งหนึ่งแถวๆย่านสุขุมวิท โดยที่ผู้บริหารมีแนวคิดที่จะสร้างขวัญและกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติงานทุกฝ่าย เพราะได้เล็งเห็นว่า ทุกวันนี้คนทำงานที่เรียกว่า “มนุษย์เงินเดือน” ต่างแบกความทุกข์ไว้บนหลังจนหลังอานเกือบจะทุกคน โดยตั้งหัวข้อไว้ว่า จะทำอย่างไรให้ชีวิตมีสุข เริ่มต้นของการบรรยาย คุณวีระพงศ์ได้ถามผู้ร่วมรับฟังที่มีอยู่พันกว่าคนว่า อะไรที่ทำให้ชีวิตเราไม่มีความสุข คำตอบเกือบ 100 % คือ การมีหนี้สิน
ประจวบเหมาะกับเมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมารัฐบาลจัดโครงการ 6 วัน 63 ล้านความคิดเห็น เพื่อนำมาเป็นแนวทางปฏิรูปประเทศ มีการเปิดรับสายโทรศัพท์ แต่เอาเข้าจริงสิ่งที่พบก็คือ คนส่วนใหญ่ที่โทรเข้ามามักร้องเรียนเรื่องหนี้สิน สรุปแล้วทุกข์มวลรวมของคนไทยเวลานี้คือการเป็นหนี้เป็นสิน ทำให้ชีวิตคนไทยไร้สุข ไร้คุณภาพ
แล้วคำถามต่อมา ทำไมเราถึงเป็นหนี้เป็นสินกันมากมายขนาดนั้นได้ ใช่เลย...เกิดจากระบบทุนนิยมที่ถาโถมเข้าสังคมไทยแบบไร้ภูมิต้านทาน ตามด้วยการชวนเชื่อ โดนผู้ที่ฉลาดกว่า หลอกเอาเงินล่อและหลอกให้เกิดหนี้ก้อนโตสอดไส้คำว่า ใช้หนี้เป็นทุน คนไทยเราตกหลุมกระแสนี้ จนไม่สามารถถอนตัวขึ้นมาได้ นอกจากนี้แล้วยังมีวัฒนธรรมแห่ตาม เห็นช้างขี้ก็อยากจะขี้ให้ดีกว่าช้าง เห็นคนมีเงินเป็นคนเท่ห์ โก้หรู ทำอะไรก็ไม่ผิด ทุจริตก็ยังถูกยกย่อง กระแสจอมปลอมถูกสร้างขึ้น เห็นความสุขอยู่ที่การมีสิ่งของประดับรอบตัว ความสำเร็จได้มาจากการครอบครอง การมี การสะสม สมบัติเงินทอง ตามด้วยการทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินตราเพื่อซื้อหาความสุข วัฒนธรรมเลียนแบบ โดยที่เราไม่ได้ตระหนักถึงรายได้ที่มี ถูกการตลาดมอมเมาด้วยการให้ใช้เงินล่วงหน้า เบิกจ่ายก่อนผ่อนทีหลัง(พร้อมดอกเบี้ย) ใช่หรือไม่ เราหลงอยู่ในยุคของการไม่รู้จักการยับยั้งชั่งใจ อยากได้ก็ต้องได้ อยากมีก็ต้องมี ใช่ คนส่วนหนึ่งสามารถทำได้เพราะรู้จักการบริหารชีวิต บริหารรายรับรายจ่ายเป็น แต่คนส่วนใหญ่ที่เมื่อหลงเข้าไปกลับไม่อาจจะหาทางออกพบ ยิ่งก้าวไปยิ่งเพิ่มหนี้ ก็เกิดความเครียด ส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงาน ท้อแท้ไปเสียทุกเรื่อง หมดเรี่ยวแรง ไม่มีแรงบันดาลใจในชีวิต..
รอยยิ้มของหลานชายที่เปี่ยมสุข ตัดสลับกับใบหน้าของผู้ที่เข้าฟังการบรรยายในครั้งนั้น ทำให้คิดต่อไปว่า แล้วอะไรเล่า คือสิ่งที่เราจะรักษารอยยิ้มเปี่ยมสุขนั้นไว้ให้ได้ตลอดไป คำหนึ่งที่ได้ยินจากคุณวีระพงศ์ นั่นคือ ในชีวิตเรามีบางอย่างที่มี แต่เรามักคิดว่าไม่มี สิ่งนั้นคือ การมีชีวิต ไม่มีใครมีความสุขได้หากไร้ชีวิต ไม่มีทุกข์ใดในโลกจะหนักหนาเท่ากับการไม่เห็นคุณค่าของชีวิต คนที่เห็นค่าของชีวิตย่อมเห็นค่าของโลกใบนี้
เราเกิดมามีอะไร รู้จักทุกข์ไหม ทารกทุกผู้คนล้วนแล้วมีแต่ความสุขติดตัวมา ทารกทุกผู้คนแม้จะร้องไห้ก็ร้องอย่างมีความสุข ร้องเพียงเพื่อให้ได้ดื่มดูดความรักจากอกแม่ คนเราเกิดมาก็เป็นเพียงสิ่งเล็กๆแต่เป็นอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ ใช่หรือไม่ ทุกข์ที่เกิดขึ้นนั้นตามมาเมื่อเราเริ่มรู้ความ เริ่มเรียนรู้การเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ เริ่มที่จะเก็บสะสมเริ่มแสวงหา เ และเริ่มที่จะไม่ยอมรับและถอยห่างจากจุดเริ่มต้นของชีวิตแรกเริ่ม ความสุขอันเป็นนิรันดร์นั้นเริ่มต้นด้วยการรู้รักตัวเอง เห็นคุณค่าของตัวเอง สุขทุกข์เกิดจากตังเราเอง แต่เหตุใดเราชอบที่จะสร้างทุกข์กันนักเล่า เมื่อเรามีความสุขจากการรู้ถึงคุณค่าของชีวิต ความสุขนี้ก็จะกระจาย ขยายไปสู่คนรอบข้าง และถ้าเราอยากมีชีวิตที่งดงามเปี่ยมด้วยคุณค่าก็ต้องรู้จักรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตัวเอง อย่าปล่อยให้สิ่งที่มีนับจากวินาทีแรกเริ่มที่มีลมหายใจ ต้องหลุดลอยไปโดยที่เราไม่เคยมองเห็นเลยตลอดชีวิต ทุกผู้คนเริ่มต้นชีวิตจากความสุข ใยต้องปล่อยให้ชีวิตเดินสู่ปลายทางด้วยความทุกข์เล่า...

ไม่มีความคิดเห็น: