วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2553

ใจที่นิ่งสิ่งนี้คือชัยชนะ

ใจที่นิ่งสิ่งนี้คือชัยชนะ

ใครๆก็อยากจะพบความสุขด้วยกันทั้งนั้น แต่ความสุขคืออะไรเล่าในความหมายของแต่ละคน การได้มีเงินมีทองใช้ การมีชีวิตที่สะดวกสบายนี่คือนิยามความสุขของคนหมู่มาก แต่สำหรับผู้ที่แสวงหาหนทางสายจิตวิญญาณ ความสุขนั้นเริ่มต้นในความศักดิ์สิทธิ์แห่งความศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ที่มิได้มาจากสิ่งภายนอก ความสุขไม่ปรารถนาความพอใจเลย เพราะความสุขมิใช่อะไรอื่นนอกจากความใฝ่ฝันคะนึงหาซึ่งความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้โอบรัดไว้ ส่วนความพอใจนั้นคือความไขว้เขวซึ่งมิช้าความหลงลืมก็จะมาพิชิต วิญญาณอมตะจะไม่พึงพอใจเพราะว่ามันปรารถนาความสมบูรณ์อยู่เสมอ และความสมบูรณ์คืออนันตภาพนั่นเอง (คาลิล ยิบราน)

ฟังๆดูแล้วรู้สึกว่ายากยิ่งนักที่จะเข้าถึงความสุขแบบนั้นได้ แค่ไม่เป็นทุกข์เป็นร้อนก็เพียงพอแล้วกระมังในชีวิต!!! ถ้าเราคิดกันเช่นนี้นี่เป็นเพียงแค่ความพึงพอใจ เป็นเพียงความสมใจแต่ไม่ใช่สุขใจ การค้นพบความสุขที่จริงแท้นั้น เริ่มต้นด้วยการสละน้ำใจ ใจที่ต้องไม่ว้าวุ่น ใจที่สงบและนิ่ง สิ่งเหล่านี้จะพาเราเดินผ่านทางทุกข์ พ้นผ่านเพียงความสะดวกสบาย ข้ามผ่านความพึ่งพอใจไปได้

ท่ามกลางกระแสหลักของโลกวันนี้ ด้วยสภาพแวดล้อม ด้วยความอลหม่านของผู้คน ด้วยการกินการอยู่ที่คู่ไปกับเครื่องไม้เครื่องมือที่ทันสมัยก้าวหน้าและต้องวิ่งไล่ล่าตามให้ทัน มันหนักเอาเรื่องที่จะค้นหาความสุขลึก ความสุขที่เที่ยงแท้

แต่เมื่อมองย้อนกลับไปในอดีตของชายคนหนึ่งซึ่งวันนี้ได้เปิดหัวใจ เปิดจิตวิญญาณของผู้คนบนโลกหลายล้านคน ชายผู้นั้น คือ พระเยซูเจ้า ตลอดเส้นทางสู่ประตูเมืองเยรูซาแล็ม ที่ผู้คนแห่แหนต้อนรับอย่างยิ่งใหญ่เยี่ยงกษัตริย์ พระองค์กลับนั่งนิ่งอยู่บนหลังลาหาได้โลดเต้นยินดีในความเปรมปรีดิ์ที่ผู้คนหยิบยื่นให้ แล้วในเส้นทางสู่เขากัลวาริโอ พระองค์ก็ยังคงนิ่งสงบสยบยอมรับภายใต้กางเขนอันหนักอึ้ง หนักด้วยความผิดหวังของคนที่เคยต้อนรับพระองค์ ถูกกดทับด้วยความแค้นที่ผู้คนไม่ได้เป็นดังใจหมาย ความตายจึงเป็นคำตอบแทน ด้วยใจที่นิ่งแม้ร่างกายจะแสดงซึ่งความเจ็บปวดแสนสาหัสออกมาบ้าง พระองค์ก็ขึ้นสู่ชัยชนะบนกางเขน การเสียสละชีวิตเพียงหนึ่งชีวิต เพื่อไม่ให้เกิดการเข่นฆ่าให้สูญเสียชีวิตของผู้คนทั้งเมือง สะท้อนออกมาเป็นแบบอย่างของการเสียสละเพื่อคนทั้งโลกในนามพระบุตรพระเจ้าผู้ทรงรับความตายเป็นเครื่องไถ่บาปของเราทั้งหลาย ด้วยความตายของพระองค์ ด้วยหัวใจอันเด็ดเดี่ยว ด้วยหัวใจของผู้กล้าและนิ่งสงบ เราจึงได้รับแสงแห่งชัยชนะ บทเรียนบทนี้มิใช่หรือที่จะสอนเราค้นพบความสุขที่เที่ยงแท้ได้ คือ ปัสกาที่นำเราก้าวผ่านเรื่องภายนอกสู่จิตวิญญาณอันแท้จริง

ชาวนาคนหนึ่ง หลังจากไปทำความสะอาดคอกม้า ออกมาก็พบว่านาฬิกาพกของตนได้หล่นหายไปเสียแล้ว นาฬิกาพกเรือนนี้มีความหมายต่อเขาอย่างมาก ด้วยว่ามันเป็นของขวัญที่แม่ของเขาทิ้งไว้ให้ เขารีบวิ่งกลับไปที่คอกม้า รื้อค้นหาจนทั่วบริเวณแทบพลิกแผ่นดินหา แต่ก็หาไม่พบ ? เขาเดินออกมาจากคอกม้าด้วยเหงื่อที่ท่วมตัว มองไปเห็นมีเด็กกลุ่มหนึ่งกำลังเล่นกันอยู่แถวนั้น เขาจึงคิดได้ว่าอาจเป็นเพราะตัวเองแก่แล้วหูตาฝ้าฟาง ทำให้หาไม่เจอ แต่เด็กๆ หูตายังใสคม น่าจะหาเจอก็เป็นได้ เขาจึงเรียกเด็กๆ มาแล้วบอกว่า ถ้าใครหานาฬิกาพกของลุงเจอ ลุงจะให้รางวัลคนนั้น

เด็กๆ พากันวิ่งกรูเข้าไปในคอกม้า จนเวลาผ่านไปนานโข เด็กๆ เดินกลับออกมาจากคอกม้ามาทีละคน ต่างมีสีหน้าผิดหวังที่หานาฬิกาพกไม่เจอ

ขณะที่ชาวนากำลังถอดใจคิดจะเลิกหานั่นเอง ก็มีเด็กคนหนึ่งมากระซิบกระซาบบอกกับเขาว่า ผมจะลองเข้าไปหาดูอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้ขอให้ผมเข้าไปคนเดียวเท่านั้น ชาวนามองตามหลังเด็กชายไปอย่างไม่มั่นใจนัก คิดในใจว่า พวกเราทั้งเยอะแยะแทบจะพลิกคอกม้าก็ยังหาไม่เจอ? แล้วลำพังเด็กคนเดียว จะหาเจอได้อย่างไร

เด็กคนนั้นเข้าไปนานก็ยังไม่กลับออกมา ชาวนาเริ่มสิ้นหวัง ในขณะที่ชาวนาคิดจะเลิกรอและจากไปนั่นเอง เด็กชายคนนั้นก็เดินออกมาจากคอกม้าในมือของเขาถือนาฬิกาพกเรือนหนึ่ง ชาวนาถามด้วยความแปลกใจว่า เจ้าหาเจอได้อย่างไร เด็กชายบอกว่า พอเข้าไปข้างใน ผมก็ไม่ได้ทำอะไรเลย เพียงแต่นั่งเงียบๆ อยู่ที่พื้น ไม่นานผมก็ได้ยินเสียง ติ๊กตอก ติ๊กตอก จากนั้นผมก็เดินตามเสียงไป แล้วผมก็เจอนาฬิกาเรือนนี้

แล้วเราล่ะท่ามกลางความวุ่นวายของสังคมจะมีเวลาได้นั่งฟังเสียงหัวใจ ฟังเสียงภายในกันมากน้อยแค่ไหน ความสุขอยู่ไม่ไกลมันซ่อนอยู่ภายในใจเรานี่เอง หยุดฟังบ้างแล้วจะพบว่า ชัยชนะอยู่แค่เอื้อม ไม่ต้องไปตะโกนร้องเรียกหาที่ไหน นี่คือปัสกาในวันเวลาที่เราต้องก้าวผ่านข้ามไปเพื่อพานพบกับความสุขที่แท้จริงและยั่งยืน....สุขสันต์วันปาสกาครับพี่น้อง

ไม่มีความคิดเห็น: