แด่...ผู้ที่ไม่เคยรู้จัก
12 เมษายน 22.30 น.
รถบัสคันใหญ่ที่บรรจุผู้คนกว่า 40 คน เดินทางจากวัดเซนต์หลุยส์มุ่งหน้าสู่จังหวัดชุมพร คือ จุดหมายปลายทางแห่งการพักผ่อนร่วมกันของคนคุ้นชิน แม้หลายคนจะไม่คุ้นเคย และด้วยความรู้สึกที่ว่า ก็ดีเหมือนกันที่ได้มีโอกาสพักผ่อนและถอนตัวออกจากชุมชนเมืองเพื่อไปรับพรจากธรรมชาติที่ชุมพร ละจากความเครียดสาธารณะที่พบปะกันมาหลายสิบวัน ห่างเว้นจากข่าวสารลงบ้าง เว้นวรรคการรับรู้จากความใจร้อนใจร้ายของผู้คน แน่ละใจก็ยังครุ่นคิดไปตลอดทาง เหตุไฉนหนอจิตใจผู้คนจึงห่างหายจากความอ่อนโยน อ่อนละมุน เป็นใจแข็งกระด้างกลายเป็นก้อนอิฐ หิน ปาใส่กัน จากที่เป็นคนไทยด้วยกันกลับเป็นคนอื่นคนไกล จากความคับแคบ แค้นเคือง โมโหโกรธา แค่รู้ว่าต่างพวกต่างความคิด ก็หมายเอาชีวิตกันเสียแล้ว ใจที่แคบคับของเรา ควรได้รับการปลอบประโลมจากผืนน้ำ ท้องทะเล ท้องฟ้า อันกว้างใหญ่ เพื่อให้เรากลับคืนสู่ความใจกว้าง และใสเย็นแม้ท่ามกลางคลื่นลม
13 เมษายน 04.30 น.
คณะเดินทางถึงจุดหมายอย่างปลอดภัย และเนื่องจากเป็นเทศกาลที่คนหลายคนคิดแบบเดียวกัน ที่พักจึงยังคงเต็มแน่น ทำให้เข้าพักไม่ได้ รถบัสคันนี้จึงเป็นดั่งบ้านต่างเตียงเพื่อนอนหลับพักฟื้น ยามเช้าแสงแดดอ่อนก็มาเยือนอย่างเที่ยงตรง คนรู้จักต่างตื่นและใช้เวลาในการท่องตลาดในที่ต่างถิ่น ต่างคน แวะซื้อหากับคนที่ไม่เคยรู้จักโดยมีการซื้อขายเป็นสื่อกลาง จากนั้นก็ออกท่องเที่ยวชมบ้านชมเมืองสองข้างทาง สิ่งหนึ่งซึ่งอยู่ในใจคนคาทอลิกเสมอนั่นคือแวะหาวัดต่างที่ต่างถิ่นที่ไม่เคยรู้จัก เพื่อสวดภาวนา ทำบุญ วัดคาทอลิกในจังหวัดชุมพร คือ วัดนักบุญเปาโลกลับใจ แต่ด้วยการที่มาอย่างไม่ได้นัดหมายวัดจึงปิด(คุณพ่อเจ้าวัดไปเข้าเงียบ) แต่แล้วคณะคนคุ้นเคยก็ได้เชยชมความสวยงามและรับความงดงามทางจิตวิญญาณ เมื่อซิสเตอร์ผู้ประจำวัดนั้น ได้มาเปิดประตูสู่ความสงบให้กับพวกเรา ด้วยใบหน้าที่เปี่ยมรักทักทายดังคนเคยรู้จัก ก็เพราะความรักในพระคริสต์เหมือนกันจึงเกิดความคุ้นเคย
13 เมษายน 11.30 น.
ระยะทางเพียงไม่กี่กิโลเมตรจากวัดสู่ที่พัก แต่ต้องใช้เวลาเกือบ 3 ชั่วโมง เพราะสงกรานต์สาดน้ำเริ่มขึ้นแล้ว หนุ่มสาวต่างหน้าต่างตา ไม่คุ้นเคย ต่างก็ร่ายรำ พร้อมอุปกรณ์ครบมือดูช่างสนุกสนาน แต่สำหรับอีกหลายคนที่ต้องทนทรมานกับการนั่งอยู่เฉยๆในที่แคบๆ ก็ชักไม่มีอารมณ์สนุกไปด้วย คนที่ไม่รู้จักพยายามทักทาย แต่ความเฉยเมินคือปฏิกิริยาที่ตอบกลับไป มีบ้างบางคนถูกตะโกนใส่ ไม่มาเล่นสงกรานต์แล้วจะมาทำไม ปีหนึ่งมีหนเดียวทำเป็นไม่กล้าจะเล่น คือคำประชดประชันจากคนที่ไม่รู้จัก ...จวบจนเมื่อเข้าที่พักก็ขอพักผ่อนกันในบ้านที่ไม่เคยรู้จัก แต่ก็ตระหนักได้ว่ายังไงๆก็ยังดีกว่านอนในรถ
14 เมษายน 16.30 น.
เดินออกมาสูดลมเย็นริมชายหาดที่ขาวสะอาดแม้จะดื่นดาษไปด้วยผู้คน บางคนก็โดดลงเล่นน้ำบ่อใหญ่ที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ร่วมกับผู้คนที่ไม่รู้จัก เพราะธรรมชาติแห่งนี้ใครเล่าจะบังอาจครอบครองไว้คนเดียว ลมชายหาดพัดสาดใส่ ใจลอยระล่องถึงถิ่นที่จากจร ขณะนี้สถานการณ์เป็นเช่นไร ความเศร้าเสียใจจากเหตุการณ์ 10 เมษายน หวนกลับสู่สมองอีกครั้ง นั่งลงริมหาดกวาดสายตาไปให้ไกล ใช่หรือไม่ ใจมนุษย์สุดหยั่งถึง ความโลภสุดหยั่งรู้ ความเห็นแก่ตัวสุดขั้วหัวใจ นี่แหละเราในยุคสมัยปัจจุบัน...
15-20 เมษายน 00.00-24.00 น.
ชีวิตสู่ปกติแต่ไม่ปกติสุข เพราะทุกอย่างยังคงเป็นปัญหาเหมือนเดิม..
21 เมษายน 19.30 น.
หน้าศาลาหลุยส์มารี ร่วมสวดภาวนาอุทิศแด่ดวงวิญญาณพลเอกร่มเกล้า ธุวธรรม รองเสนาธิการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ ค่ายจักรพงษ์ อำเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี ที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ปะทะระหว่างกำลังทหารกับกลุ่มผู้ชุมนุมเมื่อคืนวันที่ 10 เมษายนที่ผ่านมา ผู้ที่เราไม่เคยรู้จัก แต่ความเสียสละของท่านนำหลายคนมารวมกัน ณ ที่แห่งนี้ สิ่งหนึ่งที่เผยแพร่ออกมาคือการอุทิศตนเพื่อหน้าที่อย่างดียิ่ง ยากที่จะหาคนยุคนี้เป็นเช่นท่าน ผู้เป็นทหารที่เคยพูดว่า จะไม่ยอมให้กระสุนออกจากกระบอกแม้แต่นัดเดียวเพื่อเข่นฆ่าคนไทยด้วยกัน ท่านก็ได้พิสูจน์คำพูดด้วยชีวิตที่แลกกับกระสุนจากคนไทยใจกระด้าง ใครเล่าจะกล้ายืนหยัดความดีงามและยอมสละชีพเพื่อหน้าที่ ที่มีที่เห็นก็ทำกันเพื่อตัวเองกันทั้งนั้น แด่ท่านนายพล ผู้ที่เราไม่รู้จัก แต่รักและเคารพท่านอย่างสุดซึ้ง พักผ่อนเถอะท่านผู้กล้า หลับให้สบาย ท่านจะกลายเป็นคนคุ้นเคยและจะอยู่ในใจของคนไทยหลายๆ คนตลอดไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น