วันจันทร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2553

ตายดี-ตายร้าย

ตายดี-ตายร้าย

จากความขัดแย้งทางด้านความคิดเห็น คนเราก็เข่นฆ่ากันอย่างง่ายดาย ทั้งๆที่เราก็รู้อยู่ว่าอีกไม่นานนัก ความตายก็จะมาเยี่ยมกรายทุกผู้คน แต่เหตุไฉนเล่า จึงเร่งกำหนดขีดเส้นยัดเยียดความตายให้แก่กันและกัน ใช่หรือไม่ ไม่มากก็น้อย เราก็ปรารถนาที่จะตายอย่างสงบสันติ หาใช่ตายกลางสนามรบที่ยังหาจุดจบที่สงบมิได้ สำหรับผู้ที่ต้องสูญเสียชีวิตโดยเหตุบังเอิญ เราก็เพียงสวดอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์รับดวงวิญญาณเขาสู่ที่สงบสันติตลอดนิรันดร์

เมื่อพูดถึงความตาย ยังจำได้แม่นว่าที่บ้านหลังเก่า มีรูปภาพวาด ที่พ่อแม่เคยบอกว่าเป็นรูปภาพของการตายดีกับตายร้าย ภาพตายดีจะมีเทวดามาล้อมรอบ มาร้องเพลง สวดภาวนาให้ ส่วนภาพตายร้ายนั้นมีแต่ปีศาจที่กำลังฉุดกระชากเพื่อให้ไปลงนรก สองภาพนี้เก่ามากๆ คิดว่าหลายท่านคงเคยได้เห็น เป็นภาพที่เตือนใจเราว่า ระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ ในวันสุดท้ายที่ความตายมาหา เราอยากจะให้เทวดาหรือปีศาจที่มารับเรา และทำให้นึกถึงเรื่องหนึ่งที่นักเขียนเลื่องชื่อชาวเลบานอน คือ คาลิล ยิบราน ได้เขียนเกี่ยวกับความตายไว้อย่างน่าสนใจ
และเมื่อดวงจันทร์จางแสงลงยามใกล้รุ่งและเมืองถูกปกคลุมด้วยม่านอันงดงาม ความตายก็เดินด้วยฝีเท้าอันแผ่วเบาไปท่ามกลางที่อยู่อาศัยเหล่านั้น จนกระทั่งมาถึงคฤหาสน์ของเศรษฐี มันก้าวเข้าไปข้างในโดยไม่มีใครหยุดยั้งมันได้ มันยืนอยู่ข้างเตียงแล้วแตะเปลือกตา เศรษฐีตื่นตกใจ เขาก็ร้องออกมาด้วยเสียงที่หวาดกลัวและโกรธว่า
“จงออกไปเสียจากข้า เจ้าความตายที่น่ากลัว ไปให้พ้นนะเจ้าผีที่ชั่วร้าย เจ้าเข้ามาได้อย่างไร ไอ้ขโมย เจ้าต้องการอะไร ไอ้ผู้ร้าย จงไปเสียให้พ้นเพราะข้าคือนายของบ้านนี้ ออกไปเสียเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นข้าจะเรียกทาสและคนยามของข้ามาฉีกเจ้าออกเป็นชิ้นๆ”
ความตายเข้าไปใกล้แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงดังเหมือนฟ้าผ่า “ข้าคือความตาย จงรู้ไว้และทำตัวให้อ่อนน้อม”
เศรษฐีมีอำนาจผู้นั้นถามว่า “เจ้าต้องการอะไรจากข้า? เจ้ามาหาข้าเพื่ออะไร? เจ้ามาทำไม ในเมื่องานของข้ายังไม่เสร็จสิ้น? เจ้าต้องการอะไรจากผู้มีอำนาจเยี่ยงข้านี้? จงไปหาคนเจ็บซิออกไปให้พ้น” แต่หลังจากเงียบไปด้วยความอึดอัด ครู่หนึ่งเขาก็พูดขึ้นอีกว่า
“เปล่า เปล่าดอก ความตายผู้เมตตา โปรดอย่าสนใจในสิ่งที่ข้าพเจ้าพูดเลย เพราะความกลัวทำให้ข้าพเจ้ากล่าวในสิ่งที่หัวใจของข้าพเจ้าห้าม จงรับเอาทองคำจากข้าพเจ้าหรือวิญญาณของทาสสักคนหนึ่งไปและปล่อยข้าพเจ้าไว้เถิด ข้าพเจ้ายังต้องคิดบัญชีกับชีวิตซึ่งยังไม่สัมฤทธิ์ผล อีกทั้งบัญชีทรัพย์สินซึ่งคนทั้งหลายยังไม่ได้รวบรวมมาให้ ข้าพเจ้า มีเรือเดินทะเลซึ่งยังมาไม่ถึงฝั่งและผลิตผลจากแผ่นดินซึ่งยังมิได้เก็บเกี่ยว ขอท่านจงรับเอาสิ่งที่ท่านต้องประสงค์และไปเสียเถิด ข้าพเจ้ามีนางบำเรอที่งดงามเหมือนดังอรุณรุ่งให้ท่านเลือก โอ้ความตาย จงฟังต่อสักนิดเถิด ข้าพเจ้ามีบุตรชายคนเดียวซึ่งข้าพเจ้ารักเหมือนแก้วตา ท่านจะเอาเขาไปด้วยก็ได้ แต่จงปล่อยข้าพเจ้าเถิด”
แล้วความตายก็เอามือวางลงบนปากของทาสแห่งโลกีย์ชีวิตผู้นี้ แล้วหยิบเอาแก่นชีวิตของเขาส่งไปในอวกาศ
ความตายเดินต่อไปยังถิ่นของคนจน กระทั่งมาถึงที่อยู่อันซอมซ่อหลังหนึ่ง มันเข้าไปข้างใน ไปยืนอยู่ข้างเตียงซึ่งชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังนอนอยู่ หลังจากจ้องมองดูสีหน้าอันสงบของเขาแล้ว มันก็แตะเปลือกตาของเขาและชายหนุ่มก็ตื่นขึ้น และเมื่อเขามองเห็นความตายยืนอยู่เหนือเขา เขาก็คุกเข่าลง พลางยื่นมือออกไปหา ด้วยเสียงอันเต็มไปด้วยความใฝ่ฝันถึง และความรักจากดวงจิต เขาได้พูดขึ้นว่า
ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว โอ้ความตายผู้งดงาม จงรับเอาดวงวิญญาณของข้าพเจ้าไปเถิด โอ้ความเป็นจริงของความฝันและเนื้อหาแห่งความหวังของข้าฯ จงโอบข้าฯไว้เถิด ที่รักแห่งดวงวิญญาณของข้าฯ เพราะท่านนั้นแสนการุญและคงไม่ปล่อยข้าฯไว้ที่นี่อีก ท่านคือผู้สื่อสารแห่งปวงเทพ ท่านคือหัตถ์ขวาแห่งสัจจะ จงอย่าทิ้งข้าฯไปเลย ข้าฯได้แสวงหาท่านมานานแต่ไม่พานพบ ข้าเรียกหาท่านแต่ท่านหาได้ยินไม่ แต่บัดนี้ท่านได้ยินข้าพเจ้าแล้วฉะนั้นจงอย่าตอบแทนความรักของข้าฯด้วยความเมินเฉย จงโอบเอาวิญญาณข้าฯไว้เถิดความตายที่รักของข้า
แล้วความตายก็วางนิ้วอันอ่อนโยนของมันลงบนริมฝีปากของเด็กหนุ่มและนำเอาแก่นแท้ของเขาสอดไว้ใต้ปีกมัน
ขณะที่ความตายฝ่าอากาศไปนั้น มันได้มองกลับมายังโลกนี้และได้เอ่ยถ้อยคำเหล่านี้มาตามความว่างเปล่า “ผู้ใดมิได้มาจากสิ่งอันเป็นนิรันดร์ย่อมจักไม่กลับคืนสู่สิ่งอันเป็นนิรันดร์” (น้ำตาและรอยยิ้ม : คาลลิ ยิบราน)
แล้ววันสุดท้ายที่ใกล้มาถึงของเรา เราจะเลือกตายดีหรือตายร้ายกันเล่า ในเมื่อวันนี้เรายังมีเวลาที่จะเลือก.......

ไม่มีความคิดเห็น: