วันจันทร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2552

งานเข้า

งานเข้า

ภาษาที่เราใช้พูดใช้เขียนกันก็มักจะมีคำเกิดขึ้นมาใหม่ๆ บางคำก็อาจจะเป็นคำที่นิยมใช้กันอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่ถ้าลองสังเกตดูดีๆเราจะพบความหมายและค่านิยมแห่งยุคสมัยแฝงอยู่ อย่างเช่นในขณะนี้ (2009) คำว่า งานเข้า กำลังเป็นคำที่นิยมพูดกันบ่อยในขณะที่ต้องเจออะไรแย่ๆ เจออะไรเร่งด่วน ที่ผิดปกติวิสัย คำนี้ก็ได้มาจากละครตลกทางโทรทัศน์นั่นเอง

คำว่า งานเข้า หากเรามองในแง่ดี เราทุกคนน่าจะชอบนะ เพราะมีงานให้ทำ มีสิ่งที่เราจะได้ใช้ความสามารถได้ใช้พรสวรรค์สร้างสรรค์อย่างเต็มที่ ใช้หัวสมองที่มีแต่ขี้เลื่อยเพิ่มรอยหยักให้มันบ้าง และที่สุดเราก็จะได้ผลงานที่มีคุณค่าฝากไว้บนโลกนี้ แต่...ในวันนี้หากใคร งานเข้า ก็จะรู้สึกว่าแย่ขึ้นมาทันที รู้สึกว่าทำไมชีวิตเจอแต่เรื่องเลวร้าย ไม่ปกติสุข ไม่สบายเหมือนที่ผ่านมาๆ ก็ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า ยุคสมัยนี้ เราทำงานกันเพื่ออะไร เราทำงานกันอย่างไร หรือว่าการกระทำทุกอย่างในวิถีชีวิตวันนี้ต้องมีสิ่งแฝงเร้นอยู่ แม้แต่การคบเพื่อนฝูง ก็คุยกันอย่างไม่เต็มปากอย่างไม่เต็มใจ เพราะต่างฝ่ายต่างคุมเชิง เพื่อให้ได้มาซึ่งความได้เปรียบแห่งตน

ทำงานก็มักทำกันตามเวลาที่กำหนด ตามเงินเดือน ตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเสร็จแล้วก็เสร็จกัน (ไม่ใช่บริษัทของเรา เราก็แค่ลูกจ้าง) ไม่ได้ต่อยอดจากงาน ไม่ได้ใช้งานเพื่อการสร้างสรรค์ แต่ถ้ามีเงินมาล่อ มีทองมาหลอก เราก็พร้อมถวายชีวิตเพื่อการนั้น และหากว่ามีอะไรนอกเหนือจากขอบเขตที่ได้กระทำในทุกวัน มีอะไรพิเศษเราก็มักจะบ่น มักจะเกี่ยง มักจะหาทางหลบหลีก และไม่ชอบให้งานเข้า กลัวจะเดือดร้อน กลัวจะหาเรื่องใส่ตัว ท่ามกลางคำพูดแห่งยุคสมัย งานเข้า เราจึงกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว ไม่รักส่วนรวมไร้จิตอาสา ไม่มีใจกุศล คบเพื่อนก็ไม่มีความจริงใจให้กัน ทำงานร่วมกันก็ขัดแข็งขัดขา นินทากล่าวร้ายกัน คำว่าเสียสละหาไม่ได้ในยุคงานเข้าเช่นนี้

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีหงส์ฝูงหนึ่งอาศัยอยู่ในถ้ำใหญ่ อยู่มาวันหนึ่ง นกหงส์ 2 - 3 ตัวในฝูง บินไปหากินที่สระบัวหลวงที่อยู่ห่างไกลออกไป เป็นสระบัวที่กว้างใหญ่สวยงาม และเป็นที่อาศัยหากินของนกเป็นจำนวนมาก เมื่อพบเหล่งอาหารขนาดใหญ่ ก็ทำให้นกหงส์รู้สึกพอใจ จึงกลับมาเล่าให้พญาหงส์ฟัง และอยากกลับไปหากินที่สระนั้นอีก พญาหงส์ห้ามว่า สระนั้นเป็นถิ่นมนุษย์มีอันตรายมาก ไม่ควรไป แต่บริวารก็อ้อนวอนครั้งแล้วครั้งเล่า พญาหงส์จึงยินยอม และบอกว่าจะตามไปด้วย

พอร่อนลงเท่านั้น พญาหงส์ก็ติดบ่วง บ่วงของพรานรัดเท้าไว้แน่น พญาหงส์ดึงเท้าอย่างแรงด้วยคิดว่าจะทำให้บ่วงขาด ปรากฏว่าครั้งแรกหนังถลอก ครั้งที่สองเนื้อขาด พอถึงครั้งที่สาม เอ็นขาด ถึงครั้งที่สี่ บ่วงกินลึกลงไปถึงกระดูก เลือดไหลมาก เจ็บปวดแสนสาหัส (งานเข้าพญาหงส์แบบเต็มๆ)

พญาหงส์คิดว่า ถ้าหากตนร้องขึ้นว่า งานเข้าแล้วเราติดบ่วง บริวารซึ่งกำลังกินอาหารอยู่เพลินๆก็จะตกใจ กินอาหารไม่ทันอิ่ม พอบินกลับไม่มีกำลังพอ จะตกทะเลตาย กันหมด จึงเฉยๆอยู่ รอให้บริวารกินอาหารจนอิ่ม ยอมทนทุกข์ทรมานด้วยบ่วงนั้น เมื่อเวลาล่วงไปพอสมควร เหล่าหงส์อิ่มแล้ว พญาหงส์ก็ร้องขึ้นด้วยเสียงดังว่า ติดบ่วง พอได้ยินดังนั้น หงส์บริวารทั้งหลายก็ตกใจ บินหนีกลับไปหมด

มีหงส์อยู่ตัวหนึ่ง ทีแรกก็บินไปกับบริวารเหมือนกัน แต่เมื่อบินไปสักครู่หนึ่งก็เกิดเฉลียวใจว่าพญาหงส์อาจติดบ่วงก็ได้ จึงมองหาพญาหงส์ เมื่อไม่เห็น ก็คิดว่าอันตรายคงเกิดขึ้นแก่พญาหงส์เป็นแน่แล้ว จึงรีบบินกลับมาที่สระบัว เมื่อเห็นพญาหงส์ติดบ่วงอยู่ก็ปลอบใจว่าอย่ากลัวเลยตนเองจะสละชีวิตแทน

ด้านพญาหงส์กล่าวว่า ฝูงหงส์บินหนีไปหมดแล้ว ขอท่านจงเอาตัวรอดเถิด ไม่มีประโยชน์อะไรในการอยู่ที่นี่ เมื่อข้าพเจ้าติดบ่วงอยู่เช่นนี้ ความเป็นสหายจะมีประโยชน์อะไรเล่า

หงส์ตัวนั้นกล่าวว่า ข้าพเจ้าจะอยู่จะไปก็ต้องตายอยู่ดี จะหนีความตายหาได้ไม่ เมื่อท่านมีสุข ข้าพเจ้าอยู่ใกล้ เมื่อท่านมีทุกข์ ข้าพเจ้าจะจากไปเสียได้อย่างไร การตายพร้อมกับท่านประเสริฐกว่าการมีชีวิตอยู่โดยไม่มีท่าน เมื่อท่านมีทุกข์อยู่เช่นนี้ ข้าพเจ้าจะไปเสียดูจะไม่เป็นธรรมเลย
พญาหงส์กล่าวว่า จะมีประโยชน์อะไรในการยอมตายกับข้าพเจ้า ท่านมายอมสละชีวิตในเรื่องที่มิได้เห็นคุณอย่างแจ่มแจ้ง เหมือนคนตาบอดทำกิจการในที่มืดจะให้สำเร็จประโยชน์อย่างไรเมื่อนกทั้งสองกำลังเจรจากันอยู่นั้น นายพรานก็มาถึง และนิยมสรรเสริญในน้ำใจอันภักดีและเสียสละของหงส์ จึงได้ปล่อยทั้งสองไป

ในยุคที่เห็นงานเข้าเป็นเรื่องที่แย่ เราจะหวังเห็นน้ำจิตน้ำใจแห่งมิตรภาพเช่นนี้หรือไม่ เราจะฝากความอาทรไว้ในโลกหรือจะมีแต่ความละโมบอยู่เต็มหล้า งานเข้าแล้วล่ะพี่น้องคริสตชนทั้งหลาย....

ไม่มีความคิดเห็น: