สลักรักบนแผ่นหิน
ช่วงต้นเดือนเป็นวันเกิดครบรอบ 72 ปี ของแม่พอดี แม่เกิดในเดือนสิงหาคมซึ่งถือว่าเป็นเดือนแห่งแม่ พี่ๆน้องๆจึงนัดหมายรวมตัวกันเพื่อไปฉลองให้แม่ ถึงแม้ว่าจะมีบางคนติดธุระ ติดภารกิจการงานก็ต้องไปให้ได้ เป็นคำสั่งขั้นเด็ดขาดจากพี่ใหญ่ในบ้าน ซึ่งเราทุกคนก็ตั้งใจไปกันทุกคนในครอบครัวเพื่อที่จะทำให้แม่ได้ดีใจ ท่ามกลางโต๊ะอาหารใหญ่ที่มีสมาชิกสิบกว่าคน แม่ได้แต่นั่งยิ้มและก็คอยจิ้มนั่นยื่นนี่ให้ลูกคนนั้น ให้ลูกคนนี้ เห็นแม่แล้วก็อดคิดในใจว่า นี่คืออนุสาวรีย์ที่ดีงาม อนุสาวรีย์ที่มีชีวิต หาใช่อนุสาวรีย์ที่ให้รถวนเวียนไปมาเท่านั้น แม่สร้างความดี ความงาม และความรักลงในใจของลูกๆทุกคน ซึ่งแต่ละคนอาจจะรับได้ไม่เท่ากัน แต่แม่ได้ให้เหมือนๆกัน ซึ่งแม่กล่าวตอนหลังว่าภูมิใจในลูกทุกคน เราก็อยากจะบอกว่า เราภาคภูมิใจมากที่เกิดมาเป็นลูกแม่ ลูกทุกคนต่างก็ภูมิใจในแม่ของตน เป็นความงดงามของโลกอย่างหนึ่ง....
หลังจากนั้นไม่กี่วัน ในขณะที่กำลังเดินทางสัญจรร่วมกับผู้คนอีกหลายสิบคน ก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่งใส่เสื้อเป็นภาษาอังกฤษว่า Never Forgive Never Forget แปลได้ว่าไม่เคยลืมและไม่เคยให้อภัย ทำไมแรงจัง!!!! (ซึ่งเธออาจจะไม่เข้าใจความหมาย) แต่ถ้าทุกคนคิดเช่นนี้โลกเราจะเป็นเช่นไรหนอ หรือว่าวันนี้ ขณะนี้ เรากำลังก้าวเข้าสู่ยุคแห่งความเกลียดชัง ยุคแห่งการเคียดแค้น ยุคที่ไร้การอภัย และถ้าแม่ทุกคนเป็นเช่นนี้หล่ะ พ่อทุกคนเป็นดังคำนี้หล่ะ ลูกหลานเราจะเป็นเช่นไร เคยมีคนกล่าวไว้ว่า หน้าที่ที่สำคัญของพ่อแม่คือการสั่งสอนลูกให้เป็นคนดีกว่าเราตอนมีชีวิตอยู่ แต่พ่อแม่ยุคใหม่อาจจะคิดเพียงว่า สอนให้ลูกรวยกว่าตนเป็นอันใช้ได้ โดยละเลยการปลูกฝังคุณธรรมขั้นพื้นฐานและการสร้างจิตสำนึกแห่งการเป็นคนดี
มีเรื่องเล่าว่า.... มีชายสองคนเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาก เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมานับครั้งไม่ถ้วน เดินทางผ่านมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำไม่เคยมีปัญหากัน แต่แล้วครั้นเมื่อต้อง
ร่วมเดินทางไปในทะเลทรายด้วยกัน ท่ามกลางความร้อนระอุ ท่ามกลางความกระหายน้ำ น้ำอดน้ำทนเริ่มจางหาย น้ำจิตน้ำใจเริ่มร่อยหรอ รอจังหวะถึงขั้นแตกหัก แล้วระหว่างทางก็เกิดการโต้เถียงขัดแย้ง ไม่เข้าใจกัน ในเรื่องไม่เป็นเรื่อง แต่ก็เกิดเรื่องจนได้
จนทำให้เพื่อนคนหนึ่งบันดาลโทสะพลั้งมือ ตบหน้าอีกฝ่ายหนึ่งเต็มแรง เพื่อนคนที่ถูกทำร้ายรู้สึกเจ็บปวด รวดร้าว เพื่อนกันทำไมถึงทำเราได้ถึงเพียงนี้ แต่ไม่เอ่ยวาจา ด่ากลับเพราะจะทำให้สถานการณ์แย่ลง เพื่อระบายความคับแค้นใจ (คนนะไม่ใช่พระอิฐพระปูน จะได้ไร้ความรู้สึก) ก็เลยเขียนลงบนผืนทรายว่า
“วันนี้...ฉันถูกเพื่อนรักตบหน้า”
แล้วทั้งสองก็ยังคงเดินทางร่วมกันต่อไปเพื่อให้ถึงจุดหมายปลายทาง
จากทะเลทรายที่ร้อนระอุ ทำให้ใจคนสั่นคลอน ต่างคนต่างเดินทางไม่กล่าว ไม่พูดอะไร เพื่อให้เวลาลบล้างบาดแผลใจในครั้งนี้ กระทั่งมาถึงแหล่งน้ำ ทั้งสองดีใจเป็นอย่างยิ่ง หันมายิ้มให้กัน และรีบไปดื่มน้ำในบ่อให้ชื่นใจ จากนั้นก็ตัดสินใจกันว่าจะอาบน้ำชำระกาย ให้โล่งปลอดโปร่ง พลันเพื่อนคนที่เคยถูกตบหน้ากลับจมน้ำไปต่อหน้าต่อตา เพื่อนอีกคนไม่รั้งรอรีบกระโดดลงไปช่วยชีวิต ทั้งสองรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด แบบเส้นยาแดงผ่าแปด เส้นยาดำผ่าเก้า...
คนรอดตาย ยังงงและสับสนกับเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านพ้นไป แม้จะเอ่ยวาจายังไม่สามารถเอ่ยออกมาได้ แต่กลับสลักลงไปบนหินแผ่นใหญ่ว่า...
“วันนี้...เพื่อนรักช่วยชีวิตฉันไว้”
อีกคนก็ไม่เข้าใจจึงถามว่า
“เมื่อถูกฉันตบหน้า เหตุใดเพื่อนจึงเขียนลงทราย แล้วทำไมเมื่อครู่ต้องสลักบนแผ่นหินด้วยเล่า”
อีกคนยิ้มพราย กล่าวตอบ
“เมื่อถูกเพื่อนรักทำร้าย เราควรเขียนมันไว้บนทราย ซึ่งสายลมแห่งการให้อภัย...จะทำหน้าที่พัดผ่าน ลบล้างไม่เหลือ แต่เมื่อมีสิ่งที่ดีมากมาย บังเกิดขึ้นในชีวิตเราควรสลักมันไว้บนก้อนหินแห่งความทรงจำในหัวใจ ซึ่งจะไม่มีวันที่สายลม พายุแรงเพียงใดจะลบล้างทำลายลงได้”
คนที่เคยตบหน้าเพื่อนและได้ช่วยชีวิตเพื่อนเอาไว้จึงถามต่อว่า
“และเหตุใด เพื่อนจึงไม่ต่อว่าด่าทอตอบโต้เมื่อถูกตบ และไม่กล่าวขอบคุณเมื่อได้รอดชีวิตครั้งนี้เล่า”
เพื่อนผู้รอดตายกล่าวว่า “วาจาโบยบิน อักษรคงอยู่”
หากว่าวันนี้เราร่วมกันสลักรักลงในแผ่นหิน สลักการให้อภัยลงบนศิลา สังคมเราจะเป็นเช่นไร อยากรู้จัง ลองมาช่วยกันสลักลงในแผ่นหินแห่งความทรงจำด้วยความดี ความรัก และการให้อภัยกันดีไหม.....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น