ต่อยอด
บนหนทางชีวิตที่พ้นผ่านไปในแต่ละวัน แต่ละนาที มีคุณค่าและมีความหมายอะไรบ้างทั้งต่อตนเองและต่อผู้อื่น บางครั้งบางวันเราก็ดูเหมือนเหยียบย่ำอยู่กับสิ่งเดิม ๆทำงานในรูปแบบเดิมๆ ใช้ชีวิตแบบเดิมๆ ไม่ได้เรียนรู้ที่จะพัฒนาสติปัญญา พัฒนาคุณธรรมประจำตน หรือกระทั่งละเลยการพัฒนาทางด้านจิตวิญญาณของความเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ บ่อยครั้งเราได้ทำวันเวลาหล่นหาย สลายไปกับอากาศ โอกาสที่จะทำความดี ที่จะเป็นคนดีหลุดลอยไป เพราะไม่มีวิญญาณทัศน์ที่กว้างไกล
บางคนใช้ชีวิตมาหลายสิบปี เหลียวกลับไปมองชีวิตก็ใจหาย ไหง!!! เรายังย่ำรอยอยู่กับที่ ไม่ได้เติบโตในขบวนการคิด ไม่ได้เติบใหญ่ในการงาน และก็พาลไปโทษโน้น โทษนี่ เข้าประเภทความชั่วไม่มีความดีไม่ปรากฏ คนเรามีชีวิตนั้นไม่ทำชั่วนั่นคือพื้นฐานของความเป็นคน แต่ถ้าพ้นจากนี้คือการพยายามพัฒนาคุณงามความดีที่มีอยู่ในตน และเมื่อพัฒนาแล้วผลนั้นส่งไปยังคนรอบข้าง ส่งให้สังคมมีความผาสุก เป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของความเป็นคน
คนเราเกิดมามีลมหายใจแรกเหมือนกัน กายเปลือยเปล่าเหมือนกัน มีหัวใจมีสมองสองมือสองเท้าเหมือนกัน จากนั้นขึ้นอยู่กับการเรียนรู้ การอบรมสั่งสอน สะสม พัฒนาเป็นรูปเป็นร่าง เป็นผู้เป็นคน และเป็นหน้าที่ของแต่ละคนที่จะต่อยอดความหมายของความเป็นคนโดยสมบูรณ์ ใครที่ฝึกฝนจิตใจให้กล้าแกร่งตั้งแต่เด็ก คราถึงวันที่เติบใหญ่ย่อมมีสายตาที่กว้างและยาวไกลกว่าคนอื่น
มีเรื่องเล่าว่า เสนาแทน และ เสนาธง เป็นคนหมู่บ้านเดียวกันเกิดปีมะแมเหมือนกัน เข้ามารับใช้ในวังเหมือนกัน ช่วงเวลาการรับราชการก็ไม่ต่างกันเท่าใดนัก ทั้งสองคนมีความขยันตั้งใจในการทำงานเหมือนกัน แต่ห้าปีต่อมา เสนาธงได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเรื่อยๆจนได้เป็นหัวหน้าแผนกเสบียงหลวง แต่สำหรับเสนาแทนนั้นยังเป็นเสนาต๊อกต๋อยเหมือนเดิม และดูเหมือนทุกคนจะลืมไปว่ามีเขาอยู่ในวังนี้ด้วย
จนวันหนึ่งเสนาแทนซึ่งหมดความอดทนได้เข้ามาขอยื่นใบลาออกจากราชการกับขุนนางหลวง เหตุผลก็คือ เขาได้ทำงานรับราชการมาอย่างหนัก แต่ไม่เคยประจบประแจงเจ้านาย ขุนนางคนใด หรือเป็นคนคุยโวโอ้อวดผลงานของตน เขาจึงไม่เคยอยู่ในสายตาของเหล่าขุนนางในการเลื่อนตำแหน่งหรือได้งานสำคัญๆทำเลย เมื่อขุนนางหลวงได้ฟังเสนาแทนพูดจบ เขาทราบว่า เสนาแทนนั้นทำงานหนักจริง แต่ขาด
คุณสมบัติไปข้อหนึ่ง ถ้าพูดไปตรงๆ อาจทำให้เสนาแทนไม่สบายใจจึงพูดว่า
“เสนาแทน บางทีฉันอาจจะตาลายดูไม่ทั่วถึงนะ เอาอย่างนี้แล้วกัน ให้เธอไปที่ตลาดดูว่าวันนี้ที่ตลาดมีอะไรมาขายบ้าง”
เสนาแทนรีบควบม้าออกไปตลาดแล้วก็กลับมารายงานขุนนางหลวงว่า “ผมพบว่ามีชาวนาชายคนหนึ่ง มีแผลเป็นที่หน้าผากท่าทางเป็นต่างถิ่น อายุประมาณ ๕๕ ปี ใช้ม้าสีน้ำตาลตัวเมียลากรถมาขายถั่วลิสงครับ” ขุนนางหลวงถามว่า “เขามีถั่วกี่กิโล” เสนาแทนก็ขอควบม้ากลับไปดูใหม่สักครู่ก็กลับมารายงานว่า “มีถั่วลิสงยังไม่ต้ม 40 กว่าถุงปุ๋ย น้ำหนักถุงละประมาณ20กิโลกรัมครับ” ขุนนางหลวงจึงถามอีกว่า “เขาจะขายถั่วราคากิโลละเท่าไหร่” เสนาแทนก็จะขอควบม้ากลับไปดูใหม่ แต่ขุนนางหลวงได้เรียกให้เขาหยุดและให้เขาพักผ่อนให้สบายใจสักครู่
จากนั้นก็ให้คนไปเรียกเสนาธงมาพบต่อหน้าเสนาแทนแล้วพูดว่า “เสนาธง ให้ไปตลาดนะดูว่าวันนี้มีอะไรมาขายบ้าง” ครึ่งชั่วโมงต่อมา เสนาธง ก็กลับมาแจ้งว่า “ที่ตลาดมีชาวนาชราคนหนึ่งนำถั่วลิสงมาขาย มีอยู่ประมาณ 40 กว่าถุง รวมแล้วหนักราว800 กิโลกรัม ตรวจคุณภาพถั่วแล้วใช้ได้ดี เขาขายปลีกถุงละ ๓๐๐ บาท แต่ถ้าเราซื้อทั้งหมดเขาจะขายให้ถุงละ ๒๓๐บาท ซึ่งถ้าจะเอาทั้งหมดจริงๆ น่าจะต่อรองลงได้อีกถุงละสิบบาท เราสามารถนำไปขายต่อได้ถุงละ ๒๘๐ บาท มีกำไรทันที ๒๔๐๐ บาทครับ”
จากนั้นเสนาธงก็นำตัวอย่างถั่วลิสงหนึ่งกำมือให้ขุนนางหลวงดู แล้วพูดต่อว่า “พรุ่งนี้เขาจะนำถั่วแบบเดียวกันนี้อีก 1 เกวียนมาขายที่นี่ ถ้าท่านเห็นชอบผมจะไปรับซื้อเพื่อนำไปขายให้เมืองอื่นต่อไปดีไหมครับ”
เสนาแทนซึ่งยืนอยู่ข้างๆเริ่มหน้าแดงเขาขอร้องให้ขุนนางหลวงคืนใบลาออกให้กับเขาและก็เข้าใจถึงความแตกต่างระหว่างตัวเขาเองกับเสนาธงแล้ว
คนที่จะประสบความสำเร็จก้าวหน้าในชีวิตนั้นจะต้องมีความคิดที่ไกล ลึกซึ้งและก้าวหน้ากว่าคนอื่น มีความคิดที่ก้าวไกลทันต่อสถานการณ์ และต่อยอดในสิ่งที่ได้เรียนรู้ ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่แรกเกิด นี่แหละถึงจะเรียกว่า เกิดมาทั้งทีชีวิตไม่สูญเปล่า ต่อยอดพระพรของพระเจ้าได้อย่างมีคุณค่า ก้าวหน้าไปในความรักของพระเจ้าและมองเห็นคุณค่าของทุกสรรพสิ่งในโลกนี้......
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น