วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2552

หนึ่งลมหายใจ

หนึ่งลมหายใจ

ท่ามกลางเชื้อโรคใหม่ๆที่อุบัติขึ้นมาในโลกวันนี้ ทำให้ร่างกายของผู้คนที่ไร้ภูมิต้านทานอยู่แล้วกลับอ่อนแอลงไปอย่างเห็นได้ชัด โรคหวัด โรคที่เกิดจากเชื้อไวรัส จึงแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว จากมลพิษในอากาศไปสู่สัตว์ จากสัตว์สู่คน จากคนสู่คน จากเมืองสู่เมือง จากประเทศสู่ประเทศ เชื้อโรคยังไม่ยอมตกยุค ยังคงทันสมัยไปกับโลกาภิวัฒน์ แล้ว...ผู้คนทั้งโลกก็หันมารักษาตัวกันอย่างขมีขมัน เพื่อให้รอดพ้นจากเชื้อร้าย ในขณะที่เห็นการระบาดของโรคไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ 2009 (ชื่อยาวแบบนี้หรือป่าวที่เป็นเหตุให้มีการระบาดไปมาก บรรดาหมอดูชื่อดังควรจะหาทางแก้เคล็ดด้วยการเปลี่ยนชื่อให้สั้นลง) ก็รู้สึกว่าเริ่มมีอาการแปลกๆเกิดขึ้น โดยเฉพาะในเวลากลางคืนมักจะตื่นขึ้นมากลางดึก เหตุเพราะคัดจมูก หายใจไม่ออก เดี๋ยวก็ข้างซ้าย เดี๋ยวก็ข้างขวา ก็ยังดี ถ้าเกิดติดขัดคัดขึ้นมาพร้อมกันทั้งสองข้างจะทำอย่างไรดี เพราะไม่สามารถหายใจทางเหงือกได้....

การที่เราหายใจไม่ออก ทำให้เรารู้ซึ้งถึงคุณค่าของลมหายใจ ทั้งๆที่ในวันๆหนึ่งเราหายใจเข้าออกนับครั้งไม่ถ้วน แต่ก็ไม่เคยใส่ใจ ตราบจนกระทั่งในคืนวันที่เราหายใจไม่ออก เราจึงรู้ถึงคุณค่าที่แท้จริงของลมหายใจ เพราะกลัวจะไม่มีลมหายใจนั่นเอง ใช่หรือไม่ ในชีวิตของเรามีหลายๆเรื่อง หลายๆมิติ ก็เป็นเช่นนี้ สิ่งใดที่ทำกันจนคุ้นชิน คนไหนที่อยู่กันจนคุ้นเคย เราก็มักจะไม่ใคร่จะใส่ใจ เพราะเห็นกันอยู่ทุกวัน ใช้มันอยู่บ่อยๆ แต่หากว่าวันหนึ่งวันใดสิ่งนั้นเกิดหายไปจากที่ที่คุ้นชิน เราถึงจะเริ่มใส่ใจ นั่นแค่สิ่งของ และกับคนด้วยกันหล่ะ มีอีกไม่น้อยที่มานั่งเสียใจ ตรอมใจในภายหลัง ที่เฉยเมยต่อบุคคลรอบข้าง จนกระทั่งลมหายใจสุดท้ายของคนเหล่านั้นสิ้นสุดลง จึงทำให้หยุดคิด เสียดายเวลาที่ผ่านมา ที่ปล่อยปละละเลย ไม่เคยดูแลกัน นั่งร้องห่มร้องไห้เรียกร้องเวลาให้คืนกลับ ก็ขออย่าให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นกับพวกเราเลย อย่างน้อยๆก็ใช้ลมหายใจที่มีอยู่ช่วยต่อลมหายใจให้คนที่เรารักและคนที่รักเรา ให้ได้มีชีวิตที่พร้อมจะหมดลมหายใจครั้งสุดท้ายอย่างสงบ...

ลมหายใจแรกมาพร้อมกับชีวิตและลมหายใจสุดท้ายก็คือการจากไปของชีวิตบนโลกนี้ การหายใจเข้าออกเป็นการเพิ่มพลัง เป็นลมปราณที่ชุบชูชีวิตเติบโตและก้าวหน้าขึ้นในทุกวัน เป็นสายลมแห่งพระจิตเจ้าที่เข้ามาสนิทในร่างกาย ก่อเกิดสติปัญญาและวิจารญาณในการดำเนินชีวิต เป็นแรงผลักดันให้เรามีจิตวิญญาณที่แข็งแรง อาจจะมีบ้างบางครั้งที่ลมหายใจติดขัด ก็เป็นเพราะเพื่อเรียกร้องให้เราเจ้าของร่างกายหันมาใส่ใจดูแลเรือนร่างก่อนจะสิ้นใจไปเสียก่อน เพื่อให้เราได้กลับมาทบทวนเรียนรู้ถึงคุณค่าชีวิตที่แท้จริง รู้ถึงความงดงามของชีวิต...

ลมหายใจที่หมดไปในแต่ละวัน ไม่ได้เพียงแค่หมายความว่าเรามีชีวิตมาแล้วกี่วันกี่เดือนกี่ปีแล้ว หากแต่ว่าตลอดเวลาที่เราหายใจเข้าหายใจออก คือ ชีวิตที่เติบโตขึ้น บรรลุมากขึ้น แต่ที่เราไม่ค่อยรู้สึกถึงลมหายใจนั้น เพราะใจเรามัวยุ่งคิดอยู่แต่เรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาระในการแสวงหาความรู้ ในการหาเงินหาทองเลี้ยงตัว เลี้ยงครอบครัวในการสนองความทะยานอยากในสิ่งต่างๆอันมากมายไม่รู้จบสิ้น จิตใจจิตสำนึกของเราเลยหายไป เมื่อเราคิดในเรื่องต่างๆมากเท่าไหร่ เราก็จะต้องทำเรื่องต่างๆเหล่านั้นตามมา ก็ยิ่งเครียดมาก ก็เกิดเจ็บไข้ได้ป่วย ใช่หรือไม่ วันนี้ผู้คนมักป่วยไข้กันง่าย เพราะสังคมมีแต่เรื่องเครียดๆ

พอเครียดมากๆ ก็วุ่นวายใจ สุขภาพจิตก็แย่ ทำให้ทุกข์ใจ ซึมเศร้า นอนไม่หลับ

บางครั้งบางคนมีแต่เรื่องยุ่งๆ มีเวลาทำงานยุ่งๆทั้งปี ก็อาจหลงลืมไปว่า เรื่องอะไรที่สำคัญที่สุดในชีวิตเรา ปล่อยให้ชีวิตหล่นหายไปท่ามกลางความวุ่นวาย ลมหายใจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในโลกใบนี้ แต่กลับไม่มีใครจำได้เลยว่าเคยหายใจไปแล้วกี่ครั้งในแต่ละวัน แต่ที่แปลกก็คือในวันที่เราเห็นลมหายใจสุดท้ายของพ่อ แม่ พี่น้อง ญาติสนิท มิตรสหาย ผู้กำลังจะจากไป เราก็มักสวดภาวนาวอนขอพระเจ้าให้ช่วยต่อลมหายใจให้กับพวกเขาเหล่านั้น ให้ยืดเวลาให้นานที่สุด แต่ในขณะที่ยังมีเวลาหายใจลดต้นคอกันอยู่ เรากลับทำลาย ทำร้ายกันนับครั้งไม่ถ้วน

ลมหายใจ คือ ชีวิต ลมหายใจ คือ สายพระพรของพระเจ้าที่ทรงมอบให้เราทุกวารวัน หนึ่งลมหายใจที่เข้าออก คือ ความรักของพระเจ้าเข้ามาในชีวิต และรักนี้จะต้องถูกส่งผ่านออกมาเพื่อคนรอบๆข้าง หรือว่าวันนี้ ลมหายใจของเราใกล้หมดกันเต็มทีแล้ว สังคมถึงได้โรยระรินเหมือนกำลังสิ้นความหวังจมสู่ความมืดมน และหากว่าพรุ่งนี้ตอนเช้าตื่นขึ้นเรายังมีลมหายใจอยู่ ขอเพียงหนึ่งลมหายใจที่จะรับและส่งความรัก เพื่อสร้างโลกนี้ให้กลับมาสวยงาม เพื่อต่ออายุของโลกใบนี้...

ไม่มีความคิดเห็น: