วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ตะวันหรือจะมีวันดับ

ตะวันหรือจะมีวันดับ

เช้าวันพุธที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมา(2009) ตื่นนอนมาพร้อมกับความขมุกขมัวของบรรยากาศ ในใจก็คิดว่าอาจเป็นเพราะวันนี้จะมีเหตุการณ์ ตะวันดับ บนท้องฟ้า เหตุการณ์ สุริยคราส-สุริยุปราคา กระมั้ง ขณะที่กำลังจะเคลื่อนกายออกจากบ้านเพื่อไปทำงานฝนก็เริ่มตกและก็ตกตลอดทาง รายการวิทยุก็รายงานว่า เป็นที่น่าเสียดายที่วันนี้คนในกรุงเทพฯจะไม่เห็นเหตุการณ์การสุริยคราส ฟ้าฝน เรื่องธรรมชาติเป็นเรื่องที่เรามนุษย์สุดจะหยั่งถึง การเกิดสุริยคราส คนคาดเหตุการณ์ล่วงหน้าได้ แต่ก็ไม่สามารถคาดได้ว่าจะได้เห็นพระอาทิตย์ขณะถูกบดบัง หรือว่า พระอาทิตย์ไม่ต้องการให้คนเมืองหลวงเห็นความอ่อนแอของตนที่ถูกดวงจันทร์กลืนกิน แม้....คิดไปได้

และอย่างที่รู้ๆกันอยู่ว่า เมื่อใดที่กำลังจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ สื่อก็จะเล่นข่าวประโคมข่าวกันยกใหญ่ โดยนำเอาพวกโหรศาสตร์ ดาราศาสตร์มาผสมปนเปกับแพทย์แผนอนาคต(หมอดู) เพื่อมาทำนายถึงอนาคตบ้านเมือง ทำนายถึงระบบเศรษฐกิจระดับ โลก (คนไทยนี่เก่งเนอะ ธนาคารโลกน่าจะซื้อตัวไปทำงานด้วยจริงๆ) แต่เรื่องที่บอกที่ทำนายมักเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยโสภาและได้สร้างความแตกตื่นให้กับประชาชนโดยทั่วไป นี่ก็ผ่านมาได้ครึ่งค่อนวันแล้ว คำทำนายทายทักของเหล่าแพทย์แผนอนาคตก็ยังไม่เห็นมีสิ่งอันใดเกิดขึ้นเลย

โดยสรุป:โหราศาสตร์พยากรณ์ทายทักไว้ก่อนหน้านี้ว่าปี 2552 จะเกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติหลายครั้ง รวมถึงเกิดสุริยคราส สรรพคราส ในวันที่ 22 ก.ค.นั้น จะทำให้เกิดภัยธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว ฝนตกใหญ่ น้ำท่วม... ปีนี้ทั่วโลกจะเกิดความวุ่นวายเพราะมีดาวใหญ่ย้ายราศีหลายดวงโดยเฉพาะประเทศที่อยู่ในย่านมหาสมุทรจะโดนก่อน... มหาสมุทรอินเดีย, แปซิฟิก, แอตแลนติก, อันดามัน จะถูกทั้งลมพายุฝนและแผ่นดินไหวแถมภูเขาไฟระเบิด และยังมีข่าว ลือต่อ ๆ กันไป แล้วก็สรุปไว้ตอนท้ายว่า รู้ไว้ใช่ว่า เพื่อไม่ตั้งตนอยู่บนความประมาท คงไม่เสียหาย แต่ อย่าถึงขั้นตื่นกลัวจนเกินเหตุ เพราะไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่ !!!.

ก็เล่นเขียนกัน ทำสกู๊ปกันซะขนาดนี้ จะไม่ให้ตื่นตระหนกได้อย่างไร….

ตะวันคงไม่มีวันดับลับหายไปจากโลก มีแต่คนเท่านั้นแหละที่ปิดตาปิดใจตัวเอง จนมองไม่เห็นความงามของแสงตะวัน เห็นแต่สิ่งที่ยังมาไม่ถึงและก็จินตนาการไปอย่างน่าหวาดหวั่น น่ากลัว แล้วเราจะมีความสุขได้อย่างไร หากฝากชีวิตไว้กับการคาดเดา เพราะปรากฏการณ์ธรรมชาตินั้น ย่อมเกิดขึ้นได้ทุกวันเวลา ใช่หรือไม่ ในช่วงกลางคืนตะวันก็ดับแล้ว เช้ามาก็ส่องแสงปลุกเร้าให้เราตื่นจากฝันสู่ความเป็นจริง ดำเนินชีวิตเพื่อสร้างสรรค์ วันเวลาที่ค่อยๆผ่านไปก็คือการเติมเต็มความสมบูรณ์ให้กับโลกและสรรพสิ่งสร้าง และผู้คนรอบๆข้าง

พระเจ้าทรงสร้างให้มีกลางวันและกลางคืน พระองค์ทรงเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ดี มีกลางวันเพื่อให้มนุษย์เรียนรู้ รักและรับใช้ซึ่งกันและกัน มีกลางคืนให้พักผ่อน คลายความเหนื่อยหล้า อ่อนเพลีย เพื่อมีเวลาเป็นของตัวเอง อยู่กับตัวเอง ความมืดนำมาซึ่งการรู้จักไตร่ตรอง พิจารณาวันเวลาในช่วงกลางวันที่กำลังข้ามผ่านพ้นไป ท่ามกลางความมืดมิดจิตวิญญาณคืนสู่ความสงบ กลับคืนสู่อ้อมกอดในความคุ้มครองของพระเจ้า โดยมีแสงดาวแสงเดือนเป็นเสมือนยามเฝ้ารักษาสรรพชีวิต และใช่หรือไม่ ในขณะที่เราจมหายไปในความมืด ในบางที่ตะวันเริ่มฉายแสง ความหวังเริ่มก่อเกิด โลกหมุนรอบ ความรักความเมตตา สันติสุขย่อมหมุนตามไปเสมอ แต่ไฉนหนอ โลกนี้จึงไม่เคยสงบเลยเล่า !!!!

เหตุหนึ่งเพราะคนเราไม่มีความสงบในจิตใจ ใช้กาลเวลาอย่างสับสนสิ้นเปลืองและสูญเปล่า กลางวันชนกลางคืนมีแต่ตื่นไม่ยอมพักผ่อน กอบโกย เก็บเกี่ยว จนกระทั่งไม่มีเวลาอยู่กับตัวตน วันคืนหมดไปกับสิ่งภายนอก ไม่เหลือเวลาเผื่อเรื่องภายใน แล้วเราจะคงความแข็งแกร่งทางกายกันได้อย่างไร จิตใจแปรปรวน พฤติกรรมคนก็แปรเปลี่ยน จากการกระทำเพื่อผู้อื่นก็หวังคืนให้ผู้อื่นมอบให้กับตน เพื่อให้ได้เป็นผู้เหนือกว่าก็ต้องตะบี้ตะบันขยันทำมาหากิน บรรลุเป็นผู้มีอันจะกิน กลายเป็นไฮโซ ประดับวงการ

ตะวันไม่เคยดับ ความรักของพระเจ้า ความห่วงใย ของพระเจ้าไม่เคยหายไปไหน สิ่งเหล่านี้คงอยู่บนโลก อยู่ในใจเราตลอดเวลา ลองหันกลับมาให้เวลากับหัวใจ ให้ความสำคัญกับเรื่องจิตใจ หมั่นสำรวจตัวตนบ่อยๆ มีกลางวันกลางคืนในชีวิตบ้าง เราจะได้ดำเนินชีวิตในโลกอย่างมีความสุข และเมื่อนั้นความกลัว ความตื่นตระหนกจะไม่ปรากฏในชีวิตของเรา ใช่หรือไม่ พระเจ้าอาจจะเห็นว่า เราไม่ค่อยใช้ความมืดเพื่อสำรวจตรวจสอบชีวิตกันมากนัก พระองค์ก็ทรงประทานปรากฏการณ์ตะวันดับชั่วคราว เพื่อให้เราได้หันกลับมาคิดเรื่องนี้กันบ้าง แต่ก็เปล่าประโยชน์เรากลับไปตีค่าเหตุการณ์นี้เป็นเรื่องร้ายๆ เป็นเรื่องธรรมชาติลงโทษกันซะงั้น ...ตะวันไม่มีวันดับลับหายไปในชั่วชีวิตของเราหรอก แต่ช่วงชีวิตหนึ่งจิตใจของเราจะดับลงไปสักกี่ครั้งกี่รอบกันล่ะ......

ไม่มีความคิดเห็น: