วันศุกร์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

หอมหวานในวันเวลา

หอมหวานในวันเวลา

ช่วงเดือนสองเดือนที่ผ่านมามักได้รับ Forward Mail ที่สร้างความหวาดหวั่นและหวาดกลัวอยู่ไม่น้อย (คิดว่าหลายท่านก็คงจะได้รับเช่นกัน) เช่น บ้างก็ว่าโลกใกล้ถึงวันแตกดับในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า บางเมล์ก็ส่งมาบอกว่าจะเกิดภัยธรรมชาติร้ายแรงชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อน สังเกตได้จากการที่ฟ้าฝนและธรรมชาติในวันนี้ดูจะแปลกๆไป บางฉบับส่งมาเป็นคำทำนายจากที่นั่นที่นี่ทั่วโลก ซึ่งส่วนมากจะเป็นการทำนายถึงอนาคตของโลกใบนี้ในด้านที่น่ากลัว แต่ทั้งหลายทั้งปวงก็ไม่เห็นใครที่จะเสนอวิธีการที่พอจะช่วยให้โลกสงบและสันติขึ้น และให้โลกเย็นลงบ้างเลย มีแต่สร้างความกลัวให้เกิดขึ้นในจิตใจ

ถ้ามองในอีกแง่มุมหนึ่ง มองให้เป็นเครื่องเตือนใจ มองว่าเป็นสัญญาณแห่งวันเวลา เพื่อว่าเราจะได้ปรับปรุงตัวตน จะได้เห็นคุณค่าของชีวิตและมองเห็นศักดิ์ศรีของสิ่งสร้างกันมากยิ่งขึ้น เพื่อจะได้ร่วมกันประคับประคองโลกใบนี้ให้มีอายุยืนยาวก็จะมีประโยชน์มากกว่าสร้างกระแสให้เกิดความหวาดกลัว ซึ่งโดยปกติแล้วความกลัวมักซ่อนเร้นอยู่ในทุกผู้คน ยิ่งเพิ่มข้อมูลด้านลบเข้าไปอีกนิดชีวิตทั้งชีวิตก็สั่นสะเทือนแล้ว....

หากเราดำรงชีวิตอยู่บนความหวาดกลัว เราจะหาความสุขได้ไหม!!!! ทั้งๆที่โลกใบนี้มีสิ่งที่สร้างความสุขให้อย่างไม่มีวันหมดอายุขัยตั้งมากมายหลายสิ่ง

ความสุขที่ได้จากรอยยิ้มและเสียงหัวเราะเป็นสิ่งที่ทำง่าย แต่วันนี้เรามักไม่ค่อยจะเห็นผู้คนยิ้มกัน เสียงหัวเราะก็มักถูกกลบด้วยเสียงทะเลาะ เสียงตะโกนเอาชนะคะคาน สังคมเต็มไปด้วยเสียงตะเบ็งแข่งขัน ชิงดีชิงเด่นกัน และสุดท้ายเราก็ได้ยินแต่เสียงร้องไห้ของคนทั้งสังคม

ความสุขที่เกิดจากความรัก รักอยู่คู่โลกจากปฐมบทจวบจนทุกวันนี้ เป็นทรัพยากรที่ช่วยให้โลกอยู่เย็นเป็นสุข หากแต่วันนี้เรามักมองเห็นรักกันแบบพื้นๆ ใช้รักเพียงเปลือก ใช้รักเพื่อหวังผล ทั้งๆที่รักให้ผลงดงามในตัวมันเองเสมอ เราใช้ความรักแบบไม่คุ้มค่า รักควรที่จะสร้างสุข กลับเป็นรักที่สร้างทุกข์ เนื่องเพราะคนเราดันรักตัวเองมากกว่าคนอื่น...

ความสุขที่เกิดจากสิ่งเล็กๆน้อยๆ สิ่งที่กำเนิดใหม่ ดอกไม้แรกแย้ม ทารกแรกเกิด แม้กระทั่งแพนด้าน้อย ยังนำซึ่งความสุขแก่คนค่อนประเทศ

ความงดงามแห่งสายลม ท้องฟ้า แสงดาวแสงเดือน เสียงสงัดยามค่ำคืนสิ่งเหล่านี้เช่นกันก็ไม่เคยหมดไปจากโลกของเรา เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดจินตนาการ เป็นสิ่งนำร่องของเสียงเพลง ดนตรี บทกวีและงานศิลป์ เป็นสิ่งที่นำความสุขหรรษามาสู่ปวงชน เป็นสิ่งที่สร้างพลังชีวิตให้ผู้คนที่คิดแสวงหาสัจจะ เพื่อก้าวข้ามผ่านห้วงทุกข์อย่างสุขสันต์ สิ่งเหล่านี้แม้เงินทองหมื่นแสนล้านก็มิอาจจะใช้เพื่อซื้อหาได้

ใช่หรือไม่ บางครั้งความสุขที่แท้จริงเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า อยู่กับเราทุกวันเวลา แต่เรามักจะมองข้ามผ่านไป วันนี้เรามีท่าทีต่อชีวิตเราอย่างไร เต็มไปด้วยความหวาดกลัว หรือเปี่ยมสุขในวันเวลากับสิ่งที่งดงามตรงหน้า

มีนักเดินทางผู้หนึ่งเดินทางกลางทะเลทราย ทันใดนั้น ที่ด้านหลังปรากฏฝูงหมาป่าหิวโหยขบวนหนึ่งไล่กวดมา คิดกัดกินเขาเป็นอาหาร นักเดินทางผู้นั้นตื่นตระหนกยิ่ง วิ่งเตลิดอย่างไม่คิดชีวิต ขณะที่หมาป่าหิวโหยก็กำลังจะตามทัน ทันใดนั้น เขาเห็นเบื้องหน้ามีบ่อน้ำบ่อหนึ่ง จึงกระโดดลงไป

แต่บ่อน้ำนั้นมิเพียงไม่มีน้ำ ยังมีงูพิษมากหลาย พอเห็นอาหารอันโอชะมาถึง พากันผงกหัว แผ่แม่เบี้ยเตรียมฉกกัดใส่ เขาแตกตื่นลนลาน ดิ้นรนสุดชีวิต ยื่นมือไขว่คว้าเป็นพัลวัน สวรรค์กลับส่งเสริมปณิธานคนกล้า เขาคว้าถูกต้นไม้เล็กๆที่งอกเงยจากผนังบ่อต้นหนึ่งได้ หยุดร่างของเขาอยู่กลางอากาศ

ดังนั้น ด้านบนมีหมาป่า ด้านล่างมีงูพิษ คนผู้นี้ตกอยู่ในฐานะรุกก็ใช่ที่ ถอยก็ใช่ที่ แต่ถือว่าปลอดภัยชั่วคราว ขณะที่เขามีเวลาพักผ่อนหอบหายใจ พลันได้ยินเสียงประหลาดชนิดหนึ่งกระทบโสต คนเดินทางกวาดสายตาไปตามเสียง พบเห็นหนูฝูงหนึ่งกำลังกัดกินรากไม้ แสดงว่าต้นไม้ที่ช่วยชีวิตต้นนี้ยืนต้นอยู่ได้อีกไม่นาน

ในห้วงคับขันเป็นตาย คนเดินทางผู้นั้นเห็นใบไม้เบื้องหน้ามีน้ำผึ้งหยดหนึ่ง ดังนั้น เขาลืมเลือนหมาป่าด้านบน รวมทั้งงูพิษด้านล่าง และลืมนึกถึงฝูงหนูที่กำลังกัดกินรากไม้ หลับตาลงแลบลิ้นออกมาโลมเลียลิ้มรสของน้ำผึ้งหยดนั้น ณ เวลานั้น เขาคิดว่า น้ำผึ้งหยดนั้นคือ คุณค่าของชีวิต (ส่วนหนึ่งจาก เจาะเวลาหาจิ๋นซี)

ท่ามกลางความสับสน ท่ามกลางความวุ่นวายและการแข่งขันที่ช้าก็ถูกรุกไล่ ถ้าเร็วไปก็ถูกกัดกิน จนไม่มีเวลาหลงเหลือที่จะมองเห็นสุข ปล่อยให้น้ำผึ้งหยดแล้วหยดเล่าผ่านไป ผ่านไปอย่างน่าเสียดาย ลองหาเวลาเงียบๆเพื่อลิ้มรสหยดน้ำผึ้งที่อยู่ตรงหน้ากันดูบ้างจะดีไหม แล้วจะรู้ว่าชีวิตในทุกเวลาหอมหวานและมีค่าเสมอ......

ไม่มีความคิดเห็น: