วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2552

บนความนิรันดร์

บนความนิรันดร์

การเปลี่ยนแปลงเป็นนิรันดร์ กาลเวลาเปลี่ยนไป สรรพสิ่งย่อมเปลี่ยนตาม ฤดูกาลหมุนเวียนเปลี่ยนไป ใจคนยังมีสั่นมีไหว สั่นคลอนได้

ในความเปลี่ยนแปลงของกาลเวลาเห็นผู้คนตามถนนหนทาง ต่างดิ้นรน เร่งรีบ รวบรัด และต่างก็เป็นคนแปลกหน้าของกันและกัน ใบหน้าเหมือนกับกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง บ้างก็หน้าบึ้งตึงรอยยิ้มหลบอยู่ใต้มุมปาก

ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงผู้คนต่างมีวิถีชีวิตเป็นของตัวเอง เป็นปัจเจกชน มีโลกส่วนตัวพื้นที่ส่วนตนเอาไว้ซุกซ่อนความลี้ลับที่เป็นสมบัติติดตัว ชอบอยู่กับเครื่องมากกว่าอยู่กบผู้คน คุยกันผ่านการสื่อสารไร้สายมากกว่าคุยด้วยการนั่งสบตาจ้องหน้า อยู่กับเพื่อนคนหนึ่งกลับคุยโทรศัพท์ไปหาอีกคน เป็นแนวของคนรุ่นใหม่ใจไร้สาย

บนความเปลี่ยนแปลงกับการผ่านไปมาของผู้คน ที่รู้สึกเหมือนมีวัตถุที่ผ่านไป อยู่ในที่ที่เดียวกันก็ไม่ค่อยได้พูดคุย สัมพันธภาพในหน่วยงาน ในองค์กร ในตึกอาคารมีน้อยเสียกว่าจำนวนชั้นของอาคารก่อสร้าง

บนความเปลี่ยนแปลงกับวิถีชีวิตที่ต้องมาอาศัยตึกสูง แต่ห้องเดียว มากผู้คน แต่โดดเดียวเดี่ยวดาย จนแล้วจนรอด วันเปลี่ยนเดือนย้าย ก็ไม่เคยได้คุยกับคนในชุมชนแนวตั้งแห่งนี้ โลกเปลี่ยนไปสู่การเชื่อมโยงได้ทั่วโลก แต่ข้างห้องกลับไม่เคยทักทาย

ความเปลี่ยนแปลงเป็นนิรันดร์ แต่ความเห็นแก่ตัวของคนเป็นเงาของนิรันดร์ ระบบสังคมที่เปลี่ยนแปลงกลับทำผู้คนใช้ความเห็นแก่ตัวส่งเสริม เสริมสร้างให้วิถีชีวิตเข้าสู่มุมอับ เข้าสู่ความเอกเทศ เข้าความอ้างว้าง เปล่าเปลี่ยว...

นักดนตรี เสียงเพลง นักร้อง นักแสดง เปลี่ยนแปลงจากความสุนทรียกลายเป็นพานิชศิลป์เต็มรูปแบบที่แอบทิ้งความเขินอายไว้เบื้องหลัง

ความเปลี่ยนแปลงอันเป็นนิรันดร์ หมุนเวียนซ้ำแล้วซ้ำอีก ชา ชา ชิน ชิน
บนความเปลี่ยนแปลงอันนิรันดร์ กัดกร่อนผู้คนมากขึ้นและมากขึ้นในทุกวันเวลา
ความเปลี่ยนแปลงในนิยามของความแปลกหน้าในขณะที่เราอยู่ใกล้

ยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วจนหลายคนปรับตัวไม่ทัน ปฏิเสธความเป็นนิรันดร์ของการเปลี่ยนแปลง จมปลักอยู่ตามครรลองเก่าๆในกระแสธารทางสังคมแบบใหม่รุ่นล่าสุด แล้วจะอยู่ได้อย่างไรเล่า?

คนเราก็ชอบหาเหตุผล ข้ออ้างเพื่อมาสนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการของการต้านทานกระแสแห่งความเปลี่ยนแปลง ไม่ยอมปรับกลยุทธ์ ไม่ย่อมเรียนรู้และไม่มีความคิดสร้างสรรค์ จริงหรือไม่ วิถีชีวิตของคนเรามักจะถูกกำหนดด้วยกระแสของสังคม บางอย่างก็ดูพัฒนาขึ้น แต่บางอย่างกลับเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ โดยเฉพาะเมื่อโลกได้ก้าวเข้าสู่ยุคของข้อมูลข่าวสารและเทคโนโลยี ซึ่งทำให้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและการคาดการณ์เพื่อเตรียมวางแผนไว้ล่วงหน้าก็ทำได้ยากยิ่ง

ถ้าหากในเช้าวันหนึ่งเมื่อตื่นขึ้น เราอยู่ในโลกที่มีเพียงตัวคนเดียว พร้อมกับเครื่องอำนวยความสะดวก มันเป็นความเปลี่ยนแปลงแบบกะทันหัน ทำอะไรก็ไม่เป็น จะวิ่งออกจากบ้านไปข้างบ้าน ข้างห้องก็คงจะเหนื่อยเปล่า เพราะว่าสังคมตอนนี้ ลำพังตัวเองก็ยังจะเอาตัวไม่รอดแล้วใครจะมาสนใจ

สำหรับการตั้งรับความเปลี่ยนแปลง เพราะแต่ละคนก็มีวิธีแก้ปัญหาของตัวเองไม่เหมือนกัน แต่ที่แน่ๆ สิ่งที่ต้องมีเสมอ คือ สติปัญญาและความวางใจในพระเจ้า เพราะพระองค์เป็นเจ้าของของความนิรันดร์

เมื่อความเปลี่ยนแปลงมาถึง ขออย่าได้พึงนึกเสียว่าเป็นเรื่องเลวร้ายหรือดีมากเสมอไป ขอให้มองว่ามันเป็นเรื่องหนึ่งที่มาแล้ว และผ่านไป ตามเงื่อนไขของเวลา เมื่อมันแวะมาเคาะประตูบ้าน จงเปิดรับมันด้วยความยินดี เพราะว่าทุกความเปลี่ยนแปลง ย่อมนำมาซึ่งบททดสอบเพื่อการเจริญเติบโตของมนุษย์เสมอ และถ้ามันเป็นเพียงบททดสอบสักบท ทำไมเราไม่ร่วมกันค่อยๆ แก้มันไป ตรึกตรองมันไปอย่างคนที่เข้าใจความเปลี่ยนแปลง อย่างคนที่เข้าใจโลก เข้าใจชีวิต

โลกผันผ่านกับการเปลี่ยนแปลงมานับครั้งไม่ถ้วน ล้วนผ่านบททดสอบ บทแล้วบทเล่า แต่ก็สามารถเคลื่อนผ่าน ผลัดใบผลิดอกออกผล เป็นเผ่าพันธุ์ใหม่ที่งดงามเสมอมา ใครจะไปรู้ว่าวันนี้เรากำลังยืนอยู่บนเส้นที่คาบเกี่ยวของการเปลี่ยนแปลง กำลังยืนอยู่บนขอบเขตแห่งนิรันดร์เส้นนี้ หากเราข้ามไปได้ชีวิตก็จะงดงามและแข็งแกร่ง บนหนทางชีวิตความเปลี่ยนแปลงเป็นนิรันดร์ โดยมีความรักของพระเจ้าที่จะอยู่กับมนุษย์เป็นอมตะนิรันดร์กาลตราบฟ้าดินสลาย ที่จะช่วยให้เราควรค่าความเป็นคน..

ไม่มีความคิดเห็น: