กองแช่ง
จำได้ว่าตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย ก็เริ่มติดตามชมการแข่งขันฟุตบอลอังกฤษจนกระทั่งกลายเป็นแฟนของทีมดังทีมหนึ่ง (ผีแดง) เพื่อนแต่ละคนก็จะมีทีมโปรดเป็นของตัวเอง ส่วนมากก็จะอยู่ที่ผีแดงและหงส์แดง วันไหนบังเอิญเกิดสองทีมดังมาเจอกัน (ศึกวันแดงเดือด) กองเชียร์ของแต่ละทีมก็จะรวมตัวรวมกลุ่มกัน ส่งเสียงเชียร์อย่างเมามันส์... วันเวลาผ่านไปเป็นสิบปี (เร็วเหมือนโกหก) วัฒนธรรมการเชียร์ฟุตบอลก็ยังอยู่ เพื่อนๆหลายคนก็ยังรวมตัวรวมกลุ่มกันออกไปเชียร์ตามร้านรวง (กลุ่มนี้ปราศจากการเล่นพนัน) และสิ่งที่ดูน่ารักและน่ากวน... ก็คือการได้เยาะเย้ย หยามหยันกันเมื่อทีมของตัวเองเป็นฝ่ายชนะ แม้กระทั่งมีการพูดจากระแนะกระแหนกันในโลกไซเบอร์ (เข้ากับยุคสมัย)
และถ้าครั้งไหนที่ทีมตรงข้ามไปแข่งกับอีกทีมหนึ่ง ซึ่งอาจจะไม่ใช่ทีมโปรดของตัวเอง ก็จะมีการตั้งกองแช่ง เพื่อให้พลาด แช่งเพื่อให้พ่ายแพ้ ยิ่งผลการแข่งขันเป็นไปตามการแช่ง มันสะใจวัยรุ่น (เหลือน้อย) เขาล่ะ วัฒนธรรมนี้เป็นที่งงงวย ระคนหมั่นไส้สำหรับคนวงนอก บ้างหาว่าบ้าบอ แต่ขอบอก บางครั้งมัน คือ ความสุขที่ได้ทั้งแช่งและเชียร์ ใช่หรือไม่ นี่อาจจะเป็นการแสดงออกของนิสัยพื้นฐานของมนุษย์ การเห็นผู้อื่นพ่ายแพ้แล้วสะใจ หรือไม่ก็ถ้าเห็นใครได้ดีกว่าแล้วอิจฉา ขอแช่งให้ถึงวันอันตกอับ วันที่พ่ายแพ้ แต่คนกลุ่มนี้มาถ่ายเทออกทางกีฬา ดีกว่าไปนั่งแช่งกันแบบตัวเป็นๆ
มีคนกลุ่มใหญ่อยู่เหมือนกันบนโลกใบที่แสนสับสนและวุ่นวาย ที่วันๆตั้งหน้าตั้งตาเที่ยวหาคนที่พ่ายแพ้ หาคนที่จังหวะชีวิตพลาดท่าเสียศูนย์ มีความสุขอยู่บนกองทุกข์ของชาวบ้าน และคนเราจะมีใครบ้างหล่ะที่จะสมบูรณ์ได้ทั้งปีทั้งชาติ จะมีใครบ้างเล่าดีพร้อมไปเสียทุกเรื่อง ในชีวิตหนึ่งสามหมื่นกว่าวัน วันที่พ่ายแพ้กลับเป็นวันที่เลวร้ายที่สุด เหตุเพราะจะมีพวกที่สะใจ พวกที่คอยซ้ำเติมพุ่งเข้าใส่อีกระรอก ในวันที่ผ่านมาวันที่แสนงดงาม (เป็นส่วนมากของชีวิต) กลับไร้ค่าไปในพริบตา จะมีใครบ้างที่ไม่เคยตกทุกข์ ไม่เคยผ่านห้วงแห่งกางเขน เพื่อสู่วันที่แกร่งกว่า ยิ่งคนกลุ่มใหญ่ ก็มักมีเรื่องให้แช่ง มีเรื่องให้พูดถึง ให้วิจารณ์กันได้ไม่เว้นแต่ละวัน วันดีคืนร้ายเรื่องพ่ายแพ้มาตกใส่เราและบังเอิญคนกลุ่มหนึ่งที่จ้องเป็นกองแช่งเห็นเข้า ก็กลายเป็นสิ่งโอชะอร่อยปากไป
มีเรื่องของกบตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง ที่สามารถฟันฝ่า เสียงแช่ง เสียงตะโกน เสียงพูดจาที่บั่นทอนให้กำลังใจ กบน้อยตัวนี้ไม่สนใจในเสียงรบกวนเหล่านี้ ไปถึงเส้นชัยจนได้ เรื่องนี้มีอยู่ว่า
ครั้งหนึ่งมีกลุ่มของลูกกบตัวเล็กๆกลุ่มหนึ่ง ได้มาร่วมกันจัดการแข่งขัน เพื่อจะปีนขึ้นไปให้ถึงยอดเสาไฟฟ้าแรงสูง โดยมีกลุ่มชนชาวกบมารอชมและเชียร์การแข่งขันครั้งนี้ เป็นจำนวนมาก
และแล้วการแข่งขันเริ่มขึ้น พูดก็พูดเถอะ ไม่มีชนชาวกบตัวใดเลยที่จะเชื่อว่า
เจ้ากบตัวเล็กๆเหล่านั้น จะปีนขึ้นไปจนถึงยอดได้ มีเสียงพูดลอยมาให้ได้ยิน เป็นต้นว่า
“เขาไม่มีทางจะขึ้นไปถึงยอดหรอกมันยากลำบากขนาดนั้น” และอีกเสียงก็ว่า “เขาไม่มีโอกาสจะประสบความสำเร็จหรอก เสามันสูงขนาดนั้น” เจ้ากบตัวน้อยๆเหล่านี้ ก็เริ่มที่จะร่วงหล่นลงมาทีละตัวทีละตัว จะยกเว้นก็แต่เจ้ากบอีกไม่ถึง 5 ตัว ยังปีนอย่างมุ่งมั่น สูงขึ้น และก็สูงขึ้นไปเรื่อยๆ ....
ชนชาวกบก็เริ่มส่งเสียงร้องตะโกน "มันยากเกินไปไม่มีใครทำได้หรอก!จริงๆนะ ลงมาเถอะ" กบน้อยที่เหลือเริ่มเหนื่อยและยอมแพ้ค่อยรูดเสาลงมา... ...แต่มีกบตัวหนึ่ง ที่ยังตั้งหน้าตั้งตาปีนสูงขึ้น สูงขึ้น ... เจ้าตัวนี้ไม่ยอมแพ้!
เมื่อสิ้นสุดการแข่งขัน กบทุกๆตัวจึงอยากรู้ว่า เจ้ากบตัวเล็กๆตัวนี้ทำได้อย่างไร? รวมทั้งกบคู่แข่งขันต่างอยากรู้เช่นกันว่า เจ้ากบเล็กๆตัวนี้มีพลังในการปีนขึ้นสู่ยอดเสา อันเป็นเป้าหมาย จนประสบความสำเร็จได้อย่างไร? และท่านผู้อ่านล่ะคิดว่าเพราะเหตุใด ...เรื่องกลับกลายเป็นว่า... กบผู้ชนะตัวนั้นหูหนวก!!!!
บางครั้งในชีวิตเราต้องทำเป็นหูหนวก หรือ หูทวนลมบ้าง อย่าฟังคำพูดในด้านลบ หรือฟังเรื่องในแง่ลบจากผู้อื่น เพราะสิ่งเหล่านั้นมันจะดึงเอาความฝันและความปรารถนาดีที่งดงามในหัวใจของเราออกไป ระวังในพลังของคำพูดคน เพราะมันจะทำให้วันที่เราพ่ายแพ้มาถึงอย่างปัจจุบันทันด่วน ใจเราต้องเป็นดั่งศิลาที่กล้าแกร่ง ท่านนักบุญเปโตร จากคนที่ล้มเหลวในชีวิต กลายเป็นเสาเอกของพระศาสนจักรได้ก็จากหัวใจที่เป็นดั่งศิลา ท่านนักบุญเปาโล ผู้ไม่เคยฟังเสียงที่คอยแช่งด่า ท่านเดินทาง เดินหน้ากล้าประกาศถึงสัจธรรมด้วยหัวใจเพชร และวันนี้ในนามพระคริสตเจ้าเราอยู่ในกองเชียร์หรือกองแช่งกันแน่...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น