ใครอีกคนในตัวเรา
>>>
เราเป็นใคร ใครเป็นเรา ในวันนี้ เมื่อวันนั้น
เราเปลี่ยนไป
เปลี่ยนตามครรลองหรือเปลี่ยนตามกระแส
เป็นคนดี
หรือเพียงแค่อวดดี เราเป็นเรา หรือเป็นใครกันแน่ในวันนี้?
<<<
เมื่อสถานการณ์โรคโควิด
19 เริ่มปรับความร้ายแรงลดลง ทำให้กิจกรรมหลาย ๆ
อย่างกลับมาดำเนินการกันอีกครั้ง โดยเฉพาะโรงเรียน การเรียนการสอนที่ต้องหยุดการมาเรียนที่โรงเรียนไป
2 ปีกว่า ๆ เริ่มกลับมาอีกครั้ง ก็หวังว่าเราทุกคนคงเริ่มขยับปรับตัวกันได้ตามสภาพ
หลายคนอาจจะยังคงชินกับการทำการที่บ้าน
ในช่วงวิกฤตเราเห็นการเปลี่ยนทาสังคมอย่างเงียบ ๆ แต่รวดเร็ว นั่นคือ การใช้โทรศัพท์มือถือสื่อโซเชี่ยลที่เข้ามามีบทบาทในวิถีชีวิตเราอย่างมาก
ก่อเกิดวัฒนธรรมใหม่ ก่อเกิดการเรียนรู้ใหม่ ๆ ทั้งด้านดีงามและด้านหยาบทราม
คิดว่าเป็นเหมือนกันเกือบทุกคนยุคใหม่
ว่างเมื่อไรก็หยิบมือถือขึ้นมาเปิด ถู ๆ ไถ ๆ ไป มีสารพัดให้เสพ ชอบสิ่งไหน
สิ่งนั้นก็จะวนเวียนมาให้เห็นเรื่อย สิ่งที่เราคิดเราดู ชอบหาเสพในสื่อก็วนเวียนเข้ามาหาเราทุกวี่วัน
นี่เป็นระบบปัญญาประดิษฐ์ที่สถิตกับเรา และมันก็ซึมเข้าไปอยู่ในความทรงจำแบบไม่รู้ตัว
จนวันหนึ่งก็เกิดการอยากมีอยากเป็นเช่นนั้นบ้าง และก็ต้องพยายามเป็นให้ได้อย่างนั้น
เราเสพซึมเข้ามาในเส้นเลือด จนเรากลายเป็นใครก็ไม่รู้ พฤติกรรมเราเริ่มเป็นเหมือนคนที่เราติดตามจากสื่อใหม่นี้
จากไม่มีตัวตนก็พยายามดิ้นรนให้มีตัวตนเป็นคนมีพื้นที่เหมือนเขาบ้าง
อยากจะเป็นคนเด่นคนดังมีคนติดตาม มีคนค่อยชื่นชมยกนิ้วโป้งให้ ต้องหา Content
โพสต์ลงในโซเชี่ยลกันทุกวัน จนกลายเป็นกิจกรรมหลักของใครหลายคนไปเสียแล้ว
ทำอะไรนิด อะไรหน่อยต้องบอกชาวโลก สมัยนี้เราอยู่เงียบ ๆ กันไม่เป็น
เราอยู่กับตัวเองไม่ได้ นั่นแปลว่า เราอยู่กับพระในตัวเราไม่เป็น
สนทนากับพระเจ้าไม่ได้เสียแล้ว เราเปลี่ยนไปกันมาก
ต่างคนต่างเปลี่ยนตัวตนจนหลงลืมความเป็นตัวตนที่พระมอบให้เรามา
ในการเสพสื่อโซเชียลได้เปลี่ยนผู้คนให้กลายเป็นอีกคนที่ไม่ใช่ตัวเอง เพราะมันคือโลกเสมือนจริง แต่เรากลับคิดว่า โลกจริง เพราะมันทำให้เรากลายเป็นคนที่มีคนรู้จัก เลยคิดว่าเราเป็นคนมีชื่อเสียง หรือมีฐานะทางสังคมเหมือนกับคนที่เราติดตาม ทำไปทำมาคิดว่า เป็นตัวเราจริง ๆ ทำให้หลงลืมสิ่งต่าง ๆ ที่เราเคยมี ที่เราเคยเป็น เรียกว่าลืมกำพืดตัวเอง ในที่สุดเราก็กลายเป็นอีกคนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน รู้สึกภูมิใจและเชื่อมั่นในตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองสมบูรณ์แบบ ดีพร้อม อยู่ในสถานะเหนือกว่าคนอื่น จึงเกิดอาการกดทับ บังคับคนอื่น ไม่เคยผิดเลยสักครั้ง เมื่อเกิดการผิดพลาด ก็หาคนมารับโทษ เมื่อไม่มีใครให้โทษ ก็โทษฟ้าโทษดินโทษพระเจ้า เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางบัญชาการ เพียงเพื่อให้คนมายอมรับตัวเองตลอดเวลา คิดว่ายิ่งใหญ่ พอใครจะพูด จะอธิบายสิ่งต่าง ๆ ก็มักจะไม่ฟังกัน แถมโต้เถียงเอาความคิดตังเองเป็นที่ตั้ง คนรอบข้างก็เริ่มถอยห่างไปทีละคน เพราะเราไม่เหมือนเดิมที่เคยรู้จัก อย่าปล่อยให้สิ่งเหล่านี้ เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นเลย เพราะมันจะนำมาซึ่งความล่มสลายทางจิตวิญญาณ สันติสุขในจิตใจเราไม่มี เพราะแท้จริง ที่เราพยามเป็นใครสักคนในตัวตนเรานั่น เกิดมาจากความกลัว และไร้ความวางใจในพระเจ้า นั่นเอง
“เรามอบสันติสุขไว้ให้ท่านทั้งหลาย
เราให้สันติสุขของเราแก่ท่าน เราให้สันติสุขแก่ท่าน ไม่เหมือนที่โลกให้ ใจของท่านอย่าหวั่นไหว
หรือมีความกลัวเลย” คำสอนนี้จะทำให้เราเป็นตัวของเราตามแบบที่พระมอบให้เราแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน
โลกสวยงามเพราะความต่าง อย่าเอาความเป็นคนอื่นมาสู่ชีวิตเรา แต่จงเอาความดี
ความรัก ความเมตตาของกันและกันมาโถมใส่ในชีวิตเราให้มากขึ้นเรื่อย ๆ
เพื่อสันติสุขจะคงอยู่ตลอดไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น