ปัสกาทุกปีมีอะไรดีขึ้น
>>> บางทีเราก็ใช้ความชอบธรรมทำร้ายผู้อื่น
บางทีเราทำตามรอยคนอื่น ทั้งที่เราเคยไม่เห็นด้วย
บางทีเราก็ยืมมือคนอื่นทำในนามความถูกต้องอย่างไม่รู้จักกาลเทศะ <<<
เห็นมดขึ้นบ้านเดินไปแถว
เลยเอาผ้ามาเช็ดเพื่อให้ทางมดเดินนั้นหายไป แต่ไม่นานทางมดแห่งใหม่ก็เกิดขึ้น
มดเปลี่ยนทางเดินแถวแต่ยังคงแน่วแน่เหมือนเดิม มดงานทำงานอย่างขันแข็ง
แบกข้าวปลาอาหารกลับรวงรัง มันคือ สิ่งที่ดีงามตามธรรมชาติ
แต่เรามนุษย์ผู้ที่ทำตัวใหญ่โต ก็ไปขว้างทางไล่บี้ ไล่ฆ่า ฉีดยาใส่
โดยที่เราเรียกแบบนี้ว่า “ทำความสะอาด” เราทำกันแบบไม่รู้ตัว หรือเราทำไปเพราะคิดว่าถูกต้องแล้ว
เคยมีผู้ตั้งคำถามว่า ระหว่างความถูกใจกับความถูกต้องเราจะเลือกอะไร
เป็นการหาคำตอบที่ยากมาก ความถูกต้องของโลกนี้มักมาจากความถูกใจของคนมีอำนาจ อาจจะเป็นอำนาจที่สามารถสร้างกฎกติกาได้ตามใจชอบ
อาจจะเป็นอำนาจในเงามืดที่คอยชักจูง ชักนำผู้อื่นด้วยวาทะ
ด้วยเล่ห์เหลี่ยมหรือแม้กระทั่งด้วยความน่าเชื่อถือ
หลายเรื่องเราจึงนำความถูกต้องตามใจเราไปสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น
ไปเบียดบังคนอื่นแบบไม่รู้ตัว
ใช่หรือไม่ ในวันนี้เราฉลองการกลับคืนพระชนม์ชีพของพระเยซูเจ้าด้วยการทำให้พระองค์ยังคงตรึงแขวนอยู่ ไม่ต่างจากชาวยิวเมื่อครั้งกระโน้น เพราะชีวิตเรากลายเป็นแสงสว่างอันจอมปลอม แสงที่ส่องหาแต่ตัวเองมิใช่ส่องแสงให้กับคนอื่น หรือแม้กระทั่งบางทีบางคนหยิบยืมสถานการณ์บางอย่างมาแอบอ้างเป็นความดีความชอบของตัวเองไปเสียนี่ คนเราในทุกยุคทุกสมัยมักใช้ตัวเราเองเป็นศูนย์กลางที่ให้คนอื่นเข้าหา เรามิได้กางแขนออกเหมือนคนบนกางเขนนั้นเพื่อมอบความเอื้ออาทรต่อกัน เราไม่เคยเห็นอกเห็นใจใคร จนบ่อยไปที่เลยเถิดไม่เห็นหัวกันและกัน ต่างคนต่างหิวแสง ต่อเติมแสงเพิ่มแสงให้ตัวเองในที่มืด เรากำลังทำอะไรกันอยู่หรือ!!!ในนามความดีงาม ???
ความยิ่งใหญ่หาใช่การออกคำสั่งให้คนนั้นทำนั่นให้คนนี้ทำนี่ ให้ทำแบบนี้สิ คือ ความดี แต่ในหัวใจเรากลับไร้ความเมตตาและเห็นใจเข้าใจผู้อื่น เพียงคนเล็ก ๆ เรายังมองไม่เห็น สาอะไรจะไปเห็นใจคนทั่งโลกได้ คนใกล้ตัวเรามองข้าม ใยจะให้ใจกับคนไกลได้หรือ? มันก็แค่ของปลอม อย่าให้ชีวิตจริงเราทรยศหักหลังกันได้ตลอดเวลา หากวันใดเราทรยศผู้อื่นด้วยเล่ห์เหลี่ยม นั่นเท่ากับทรยศกับตัวเองและพระผู้สถิตอยู่กับเรา จะต่างอะไรกันยูดาสที่หลอกขายพระอาจารย์ ด้วยความคิดส่วนตัว ที่คิดว่านี่คือแสงสว่างแห่งสาธารณะที่กำลังจะเปล่งแสงเจิดจ้า แต่แล้วก็ต้องจมในความมืดมนจนตัวตาย
ในสังคมวันนี้เราต่างก็ยังคงตรึงแขวนพระเยซูกันต่อมา
โดยที่มิได้นำสิ่งที่พระองค์ตรัสสอนมาดำเนินชีวิตกันเลย ยังข้ามผ่านตัวตนกันไม่ได้
มิเคยเลยที่จะให้ความรักต่อผู้คน มีแต่หวังจะใช้อำนาจ จะใช้หน้าที่
จะใช้เครื่องแบบ เปลือกนอกทำในสิ่งที่ถูกใจตัวเอง ซึ่งมันไร้ค่ากว่ามดงานมากต่อมากนัก
ในวันที่เรายังทรยศต่อความงามในตัวเอง ชอบทำตามสิ่งที่ตัวเองคิดฝ่ายเดียว พร้อมทั้งใช้เล่ห์เหลี่ยมล่อให้คนอื่นหลงว่านี่คือความชอบธรรม
ให้ทำตามโดยดุษฎี แอบอ้างความถูกต้องกันแบบนี้กันอยู่ นี่แหละเป็นการเพิ่มความเจ็บปวดให้กับชายผู้ถูกตรึง
แล้วใยเรายังมีหน้ามาฉลองวันกลับคืนชีพของชายคนนั้นกันอย่างเริงร่ากันได้อย่างไรเล่า ก้าวข้ามตัวเองกันให้ได้ก่อนจะดีกว่า
อาแมน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น