วันเสาร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2564

มองข้าม

 มองข้าม

>>> ความเคยชิน ทำให้เรามองไม่เห็นอัศจรรย์ หลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต

 ความคุ้นเคย ทำให้เราละเลยใส่ใจห่วงใยคนรอบข้าง จวบจนวันที่ไม่มีแม้เงาให้มองเห็น

ความจำเจ ทำไปวัน ๆ ขาดแรงบันดาลใจที่จะทำให้เรามองเห็นความงามรอบตัว <<<

เคยสังเกตตัวเองว่าในวัน ๆ หนึ่ง เราเสียเวลาไปกับการถู ๆ ไถ ๆ  เครื่องมือถือมากเกินไป มาคิด ๆ ดู วันหนึ่งเราจมอยู่กับมันสัก 2 ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย เดือนหนึ่งเราหมดเวลาไป 60 ชั่วโมง แล้วปีหนึ่งล่ะ(คิดในใจ) เท่าไหร่ หากเอาเวลาที่หายไปนี้ มาทำอะไรได้หลายสิ่งหลายอย่าง นำมาพัฒนาศักยภาพในการทำงาน อ่านหนังสือหาความรู้ หรือนั่งคุยกับคนในบ้าน ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ ปรึกษาหารือปัญหาที่ประสบพบเจอ แต่เอาเข้าจริง ณ วันนี้ เราต่างคนต่างก้มหน้าก้มตา เสพติดมีเดียจนหลงลืมที่จะพูดคุยกัน มีความเป็นส่วนตัวสูง ใจลอยอยู่กับคนไกล ทำตัวสนิทกว่าคนใกล้ แล้วก็คิดกันว่า สิ่งที่ทำอยู่นี้ นี่แหละหนทางสร้างตัวตน

          ถึงวันนี้เป็นเรื่องยากที่จะถอยห่างจากสื่อมีเดีย เพราะมันกำลังกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต แล้วเราจะทำเช่นไร!!! ที่จะใช้ส่วนนี้ให้เกิดประโยชน์ โดยมิต้องสูญเปล่าไปกับเรื่องราวชาวบ้าน ไม่สูญสิ้นศรัทธาในคุณค่าความเป็นคนของคนที่อยู่ตรงหน้าเรา หรือทำให้มีคุณค่าต่อทุกคนที่เรามีปฏิสัมพันธ์ ที่สุดเรากล้าที่จะพัฒนาความดี ความเมตตาของเราสู่คนอื่นเพิ่มมากขึ้นหรือไม่? หรือยังคงย่ำอยู่กับที่ หลงไปกับความสำเร็จแบบเดิม ๆ ทั้งในเรื่องจิตใจ จิตวิญญาณ เราคิดว่าเรามีศรัทธา มีความเชื่อดีแล้วหรือ จึงไม่จำเป็นต้องเพิ่มเติม สวดทุกวัน เข้าวัดทุกอาทิตย์ จะเอาอะไรอีก!!! ถ้าคิดเพียงแค่นี้ เรากำลังตาบอดทางจิตวิญญาณลงเรื่อย ๆ แบบไม่รู้ตัว

หนุ่มชาวบ้านวัยฉกรรค์คนหนึ่งสมัครเป็นคนตัดฟืน ให้กับผู้ใหญ่ประจำหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ในวันแรกของการทำงานเขาเดินเข้าป่าด้วยความมุ่งมั่น และตัดต้นไม้เพื่อทำเป็นฟืนได้ถึง 20 ต้น เย็นวันนั้น ผู้ใหญ่บ้านชื่นชมเขา เพราะเขาสามารถตัดต้นไม้ได้มากที่สุดในบรรดาคนตัดไม้ด้วยกัน เขาจึงคิดว่าเขาต้องทุ่มเททำให้ดีขึ้นอีก

ในวันรุ่งขึ้นเขามุ่งเข้าป่าเพื่อตัดต้นไม้แต่เช้า จนถึงเย็นเขาตัดต้นไม้ได้ 18 ต้น แต่ผู้ใหญ่บ้านก็ยังชื่นชมในความตั้งใจของเขา เช้าวันรุ่งขึ้นเขาเริ่มทำงานเช้ากว่าเดิม และตัดไม้จนแทบจะไม่ได้พัก ตกเย็นปรากฎว่าเขาตัดต้นไม้ได้เพียง 16 ต้นเท่านั้น เขารู้สึกเศร้าใจมากที่ทำงานเต็มที่แล้ว แต่กลับทำได้ไม่ดี และรู้สึกผิดจึงเดินไปขอโทษผู้ใหญ่บ้าน หลังจากได้รับการขอโทษจากคนตัดไม้แล้วผู้ใหญ่บ้านก็ถามคนตัดไม้ว่า  “เธอลับขวานครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่” 

ผมไม่ได้ลับขวานเลย เพราะแค่ตัดต้นไม้ให้ได้ตามที่ต้องการ ก็แทบจะไม่มีเวลาพักแล้วชายคนนั้นตอบ ผู้ใหญ่บ้านจึงสอนชายคนนั้นว่า หากเธอเสียเวลาเพียงเล็กน้อยเพื่อลับขวานให้คมอยู่เสมอ เธอคงจะตัดต้นไม้ได้มากกว่านี้ และเหนื่อยน้อยกว่านี้ด้วย #สายธารแห่งปัญญา

              เราต้องหมั่นพัฒนาจิตวิญญาณความใจดีมีเมตตาเสมอ เพิ่มพูนให้เข้มแข็ง ก็เหมือนกับการลับขวานให้คมอยู่เสมอ ซึ่งจะช่วยให้เราเดินหน้าสู่ความชื่นชมยินดี และที่สุดเราต้องไม่หยุดที่จะช่วยฉุดรั้งผู้คนรอบข้าง ให้ลุกขึ้นก้าวเดินไปด้วยกัน เก่งคนเดียวก็เท่านั้น เพราะแท้จริงแล้วพระเจ้าทรงให้เรามาอยู่ร่วมกัน ให้ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ใครป่วยเราต้องดูแล ใครต้องการความช่วยเหลือเราต้องพร้อมที่จะช่วย  และเหนือสิ่งอื่นใด เราไม่จำเป็นต้องหักโหมให้ได้มาซึ่งสวรรค์ บางทีจะทำให้จิตใจเรา อ่อนล้า และไร้เรี่ยวแรงที่ก้าวเดินต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น: