มองข้าม
>>> ความเคยชิน ทำให้เรามองไม่เห็นอัศจรรย์
หลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิต
ความคุ้นเคย
ทำให้เราละเลยใส่ใจห่วงใยคนรอบข้าง จวบจนวันที่ไม่มีแม้เงาให้มองเห็น
ความจำเจ ทำไปวัน ๆ ขาดแรงบันดาลใจที่จะทำให้เรามองเห็นความงามรอบตัว
<<<
เคยสังเกตตัวเองว่าในวัน ๆ หนึ่ง เราเสียเวลาไปกับการถู ๆ ไถ
ๆ เครื่องมือถือมากเกินไป มาคิด ๆ ดู
วันหนึ่งเราจมอยู่กับมันสัก 2
ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย เดือนหนึ่งเราหมดเวลาไป 60 ชั่วโมง แล้วปีหนึ่งล่ะ(คิดในใจ) เท่าไหร่ หากเอาเวลาที่หายไปนี้
มาทำอะไรได้หลายสิ่งหลายอย่าง นำมาพัฒนาศักยภาพในการทำงาน อ่านหนังสือหาความรู้
หรือนั่งคุยกับคนในบ้าน ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ ปรึกษาหารือปัญหาที่ประสบพบเจอ แต่เอาเข้าจริง
ณ วันนี้ เราต่างคนต่างก้มหน้าก้มตา เสพติดมีเดียจนหลงลืมที่จะพูดคุยกัน
มีความเป็นส่วนตัวสูง ใจลอยอยู่กับคนไกล ทำตัวสนิทกว่าคนใกล้ แล้วก็คิดกันว่า
สิ่งที่ทำอยู่นี้ นี่แหละหนทางสร้างตัวตน
ถึงวันนี้เป็นเรื่องยากที่จะถอยห่างจากสื่อมีเดีย
เพราะมันกำลังกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต แล้วเราจะทำเช่นไร!!! ที่จะใช้ส่วนนี้ให้เกิดประโยชน์
โดยมิต้องสูญเปล่าไปกับเรื่องราวชาวบ้าน ไม่สูญสิ้นศรัทธาในคุณค่าความเป็นคนของคนที่อยู่ตรงหน้าเรา
หรือทำให้มีคุณค่าต่อทุกคนที่เรามีปฏิสัมพันธ์ ที่สุดเรากล้าที่จะพัฒนาความดี
ความเมตตาของเราสู่คนอื่นเพิ่มมากขึ้นหรือไม่? หรือยังคงย่ำอยู่กับที่
หลงไปกับความสำเร็จแบบเดิม ๆ ทั้งในเรื่องจิตใจ จิตวิญญาณ เราคิดว่าเรามีศรัทธา
มีความเชื่อดีแล้วหรือ จึงไม่จำเป็นต้องเพิ่มเติม สวดทุกวัน เข้าวัดทุกอาทิตย์
จะเอาอะไรอีก!!! ถ้าคิดเพียงแค่นี้ เรากำลังตาบอดทางจิตวิญญาณลงเรื่อย
ๆ แบบไม่รู้ตัว
หนุ่มชาวบ้านวัยฉกรรค์คนหนึ่งสมัครเป็นคนตัดฟืน
ให้กับผู้ใหญ่ประจำหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
ในวันแรกของการทำงานเขาเดินเข้าป่าด้วยความมุ่งมั่น
และตัดต้นไม้เพื่อทำเป็นฟืนได้ถึง 20
ต้น เย็นวันนั้น ผู้ใหญ่บ้านชื่นชมเขา เพราะเขาสามารถตัดต้นไม้ได้มากที่สุดในบรรดาคนตัดไม้ด้วยกัน
เขาจึงคิดว่าเขาต้องทุ่มเททำให้ดีขึ้นอีก
ในวันรุ่งขึ้นเขามุ่งเข้าป่าเพื่อตัดต้นไม้แต่เช้า
จนถึงเย็นเขาตัดต้นไม้ได้ 18
ต้น แต่ผู้ใหญ่บ้านก็ยังชื่นชมในความตั้งใจของเขา
เช้าวันรุ่งขึ้นเขาเริ่มทำงานเช้ากว่าเดิม และตัดไม้จนแทบจะไม่ได้พัก
ตกเย็นปรากฎว่าเขาตัดต้นไม้ได้เพียง 16 ต้นเท่านั้น
เขารู้สึกเศร้าใจมากที่ทำงานเต็มที่แล้ว แต่กลับทำได้ไม่ดี
และรู้สึกผิดจึงเดินไปขอโทษผู้ใหญ่บ้าน
หลังจากได้รับการขอโทษจากคนตัดไม้แล้วผู้ใหญ่บ้านก็ถามคนตัดไม้ว่า “เธอลับขวานครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่”
“ผมไม่ได้ลับขวานเลย เพราะแค่ตัดต้นไม้ให้ได้ตามที่ต้องการ
ก็แทบจะไม่มีเวลาพักแล้ว” ชายคนนั้นตอบ ผู้ใหญ่บ้านจึงสอนชายคนนั้นว่า “หากเธอเสียเวลาเพียงเล็กน้อยเพื่อลับขวานให้คมอยู่เสมอ
เธอคงจะตัดต้นไม้ได้มากกว่านี้ และเหนื่อยน้อยกว่านี้ด้วย” #สายธารแห่งปัญญา
เราต้องหมั่นพัฒนาจิตวิญญาณความใจดีมีเมตตาเสมอ เพิ่มพูนให้เข้มแข็ง
ก็เหมือนกับการลับขวานให้คมอยู่เสมอ ซึ่งจะช่วยให้เราเดินหน้าสู่ความชื่นชมยินดี และที่สุดเราต้องไม่หยุดที่จะช่วยฉุดรั้งผู้คนรอบข้าง
ให้ลุกขึ้นก้าวเดินไปด้วยกัน เก่งคนเดียวก็เท่านั้น เพราะแท้จริงแล้วพระเจ้าทรงให้เรามาอยู่ร่วมกัน
ให้ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน ใครป่วยเราต้องดูแล
ใครต้องการความช่วยเหลือเราต้องพร้อมที่จะช่วย และเหนือสิ่งอื่นใด เราไม่จำเป็นต้องหักโหมให้ได้มาซึ่งสวรรค์
บางทีจะทำให้จิตใจเรา อ่อนล้า และไร้เรี่ยวแรงที่ก้าวเดินต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น