วันเสาร์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2564

ขอ…จนเหลือขอ

 

ขอจนเหลือขอ

>>>บางทีความอ่อนแอของคนเราก็มาจากการเรียกร้อง ไม่ยอมลงมือทำหรือแก้ปัญหาเอง

เมื่อขอใครไม่ได้ ก็ขอและเรียกร้องเอาจากพระเจ้า จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนบานศาลกล่าว

เมื่อไม่ได้ดังขอก็ต่อว่าต่อขาน เลิกนับถือ เลิกเชื่อ ทั้ง ๆ สิ่งที่ขอนั้นบางทีก็เหลือขอ>>>

หลายครั้งในระหว่างออนไลน์มิสซาของวัดเซนต์หลุยส์ จะพบข้อความหนึ่งขึ้นมาว่า “สงสารผมเถิด ผมตกงานและต้องเลี้ยงลูกอีก ขอเมตตาสักครั้ง ….” พร้อมเบอร์บัญชี หลายคนสงสารก็ส่งเงินไปช่วยเหลือ ในฐานะที่ดูแลเรื่องนี้เมื่อเห็นก็ต้องรีบลบรีบบล็อกเพื่อไม่ให้ผู้ร่วมมิสซาออนไลน์เห็นข้อความนี้ เคยลองโอนเพื่อตรวจสอบดูแล้ว ข้อความลักษณะนี้จะใช้วิธีเปลี่ยนชื่อในเฟสบุ๊คไปเรื่อย ๆ ก็คนเดียวกันนี่แหละ ที่สำคัญยังไปขอความช่วยเหลือตามเพจวัดที่ออนไลน์ ตามเพจที่ถ่ายทอดสด มีให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง เป็นการขอทานที่ทันสมัย เรียกว่า ขอทานออนไลน์ และด้วยความใจดีมีเมตตาของคนไทยเรา ก็มักจะมีผู้ให้โดยบริสุทธิ์ใจ สบายใจได้บุญได้กุศลกันไป


หลายครั้งหลายกรณีก็เป็นเช่นข่าวเกิดขึ้น เมื่อมีคนใจดีย่อมโอน ย่อมจ่าย สายเปย์ ให้กับใครคนใดคนหนึ่งในโลกออนไลน์ โดยหวังจะผูกมิตผูกจิตให้ซาบซึ้งและมาคบหากัน แต่เมื่อผ่านไปก็มักจะสูญเสียเงินฟรี ๆ จะฟ้องร้องก็มิได้เพราะให้โดยเสน่หา จากช่องโหว่ช่องว่างตรงนี้จึงเกิดผู้ขอเกิดขึ้นมากมาย ได้มาง่าย ๆ จนกลายเป็นการติดนิสัยขี้ขอ และงอมืองอเท้าไม่ทำอะไร ใช่หรือไม่ หลายคนก็ติดนิสัยขอ ได้นี่แล้วก็อยากได้นั่นอีก ได้ตำแหน่งนี้แล้วก็อยากได้ตำแหน่งที่ใหญ่ขึ้นไปอีก ขอกันไปเรื่อย ถ้าขอไม่ได้ก็ใช้การทุจริตติดสินบน นิสัยแบบนี้เวลาเกิดปัญหาอะไรก็มักจะแก้ปัญหาไม่เป็น สุดท้ายก็ติดสินบาทขาดสินบนเบื้องบน จะหามาถวายหากได้สมใจปรารถนา ในโลกที่เรามีปัญญาที่อ่อนแอ ก็มักจะมีแต่ปัญหาไม่มีที่สิ้นสุด ไปต่อไม่เป็น 

ชายหนุ่มคนหนึ่ง เจอกับวิกฤตของชีวิตร้านอาหารที่เขาทำ ขายไม่ดี ไม่ค่อยมีลูกค้ากินทุนเก่า ขาดทุนทุกวัน พอมีปัญหาการเงิน ก็ทะเลาะกับแฟน มีปากเสียงกันทุกวัน เขาตัดสินใจไปหาคุณพ่อท่านหนึ่งที่วัด ไปเล่าปัญหาให้คุณพ่อฟัง หวังว่าจะได้น้ำเสกมาปัดเป่า หรือได้ของดีกลับมา คุณพ่อฟังปัญหาเสร็จ ก็เลยบอกชายหนุ่มว่า “เดี๋ยวจะให้พรวิเศษ กลับไปเปลี่ยนชีวิตเลย แต่มีข้อแม้ เธอจะต้องช่วยพ่อ หากุญแจห้องเก็บน้ำเสกก่อน พ่อมีธุระด่วน ค่ำๆจะกลับมา”

ชายหนุ่มรับปาก “ได้ครับคุณพ่อ เดี๋ยวผมช่วยหา” ว่าแล้วชายหนุ่มก็ออกจากบ้านพักคุณพ่อไปเดินหากุญแจรอบ ๆ บ้าน หาตั้งแต่เช้าจนค่ำ ก็ไม่เจอ จนคุณพ่อกลับมา ถามชายหนุ่มว่า... “เจอมั้ย?” ชายหนุ่มตอบ “ผมหาทุกซอกทุกมุมเลยครับ เดินวนไปวนมาหลายรอบตั้งแต่เช้ายันเย็น....ไม่เจอ”

คุณพ่อนั่งลงแล้วบอกชายหนุ่มว่า  “หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอหรอก กุญแจพ่อทำตกไว้ที่วัดน่ะ มาหาตรงนี้จะไปเจอได้ยังไง?” ชายหนุ่มโกรธคุณพ่อมาก ทำไมถึงหลอกลวงให้ตน เดินหากุญแจตั้งแต่เช้ายันค่ำ “นี่คุณพ่อ!! เป็นพระเป็นเจ้า มาโกหกได้ไง บาปนะ  เสียแรงนับถือ!!”

คุณพ่อบอก “เธอดูเอาเถิด ทุกข์ของเธอ เกิดขึ้นที่บ้าน เกิดขึ้นที่ครอบครัว แล้วเธอมาทำอะไรที่นี่?? มีปากเสียงกับภรรยา ก็ต้องไปปรับความเข้าใจกับภรรยาไปพูดคุยกัน ไม่ใช่มาหาพระหรือมาขอร้องให้ใครช่วย บอกว่าร้านค้าขายไม่ดี พ่อบวชมาทั้งชีวิต ไม่เคยค้าขาย ไม่มีความรู้เรื่องธุรกิจจะช่วยแก้ปัญหาอะไรได้?? ที่ต้องทำคือกลับไปที่ร้าน กลับไปนั่งพิจารณาว่า ร้านมีข้อเสียอะไร บกพร่องตรงไหน บริการเป็นอย่างไร รสชาดอาหารดีหรือไม่ ไม่ใช่มาขอน้ำเสก มาขอรูปปั้นพระ มันจะไปช่วยอะไรได้!! เหมือนกับที่เธอ งมหากุญแจตั้งแต่เช้ายันค่ำนี่แหละ หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอหรอก มันไม่ได้ตกที่นี่ !!” ชายหนุ่มทรุดลงกับพื้นยกมือท่วมหัว แล้วรีบกลับไปแก้ไขชีวิตตัวเองจนไม่นานครอบครัวก็กลับมารักกันเข้าใจกัน กิจการก็เจริญรุ่งเรือง (ดัดแปลงจากต้นฉบับที่เขียนโดย สิริทัศน์ สมเสงี่ยม)

คนสมัยนี้คิดอะไรง่าย ๆ ขอให้ได้มาโดยมิต้องออกแรง บางครั้งบอกว่าพระเยซูเจ้าสอนว่า จงขอ แล้วจะได้ก็เลยเอาแต่ขอ ๆๆๆ ไม่ได้อ่านต่อไปที่พระองค์ขยายความว่า จงแสวงหา แล้วท่านจะพบ ไม่ใช่ขออย่างเดียว แต่เราต้องแสวงหาหนทางให้ได้มาด้วย เราขอให้เพื่อให้เกิดปัญญาในการแก้ปัญหา แต่มิได้ขอเพื่อเพิ่มตัญหาอยากจะยิ่งใหญ่ ขอแบบนี้ก็ขอกันทั้งชีวิตก็มิได้อะไรดีขึ้นมา….

ไม่มีความคิดเห็น: