วันเสาร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

วันที่โดดเดี่ยว

 

วันที่โดดเดี่ยว

สถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ระลอกสามในประเทศไทยยังคงน่ากลัว เพราะตัวเลขผู้ติดเชื้อในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาอยู่ที่หลักพันถึงสองพัน และมีผู้เสียชีวิตอยู่ที่เลขสองหลัก โดยเฉพาะในเมืองหลวง กรุงเทพฯ ยังคงเกิดการติดเชื้อและเสียชีวิตกันอย่างต่อเนื่อง โควิดยังทำให้คนเราต้องหันกลับมามองและไตร่ตรองถึงคุณค่าของชีวิตให้มากขึ้น พร้อมต้องใส่ใจกับเรื่องความดีความงามของชีวิตภายใน ลดเรื่องปรุงแต่ง การสะสม กอบโกย ซึ่งล้วนเป็นเรื่องเปลือกนอกทั้งสิ้น ในวันที่เราต้องจากลาโลกไปไม่ว่าจะเร็วจะช้า สิ่งเหล่านั้นมันก็ไร้ค่า ยิ่งมองเห็นผู้ที่ต้องเสียชีวิตไปด้วยโควิด-19 ในขณะนี้ แล้วที่ต้องทำพิธีเผาหรือฝังอย่างรวดเร็ว ไม่เน้นจัดงานให้วุ่นวายเพราะร่างกายอาจจะนำเชื้อแพร่ออกมาได้ และพยายามให้คนไปร่วมส่งวิญญาณให้น้อยที่สุด บางรายจำต้องทำพิธีอย่างเดียวดาย แม้ตอนใกล้จะหมดลม ก็ต้องนอนบนเตียงอย่างโดดเดี่ยว เรื่องนี้สอนอะไรเราบ้าง ….


ดูเหมือนว่ามนุษย์อยู่ร่วมกันมาจนเรียกว่า สัตว์สังคม เป็นล้าน ๆ ปี จนบางครั้งเราอยู่คนเดียวแทบไม่เป็น เราต้องมีเพื่อน มีญาติ มีพี่น้อง ต้องทำอะไรด้วยกัน สนุกสนานเบิกบานสำราญด้วยกัน จนกระทั่งสัก 10-20 ปีมานี้เอง โลกวัฒนาการสูงส่ง เราเริ่มมีสังคมที่กว้างขึ้นไป เป็นความสัมพันธ์ทางอากาศ มีโลกใหม่ที่เรียกว่า “โลกออนไลน์” มีสังกัดที่เรียกว่า “ชาวเน็ต (อินเตอร์เน็ต)” เริ่มแยกตัวจากโลกแห่งความเป็นจริง เข้าไปสิงสถิตในโลกโซเชี่ยล เริ่มโดดเดี่ยวแต่ยังเที่ยวเพลิดเพลินกับคนไม่คุ้นชิน สถานที่ไม่คุ้นเคย เริ่มมีแนวคิดว่า แม้รอบตัวเราจะมีคนอยู่มากมาย แต่ก็ใช่ว่าคนรอบตัวจะทำให้เรามีความสุข จึงแสวงหาความสุขอันไกลโพ้น ที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนได้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิต หลาย ๆ ครั้งในสังคมวันนี้ เราต้องเผชิญหน้ากับความโดดเดี่ยว เหมือนยืนอยู่คนเดียวท่ามกลางผู้คนมากมาย เหมือนกับว่าไม่ได้มีใครมาสนใจ หันมาใส่ใจเราจริง ๆ จัง ๆ อย่างที่เคย อย่างที่เป็นมา เพื่อหลุดพ้นความกลัวที่จะโดดเดี่ยว ใครที่คุยได้แม้ไม่เห็นหน้าก็ไขว่คว้าเอาไว้เป็นเพื่อน

แท้จริงแล้ว ชีวิตคนเรานั้นหลีกหนีความโดดเดี่ยวไม่พ้นหรอก ไม่ว่าเราจะอยู่ในฐานะอะไร จะมีครอบครัวหรือไม่มี ถึงเวลานั้นจริง ๆ ก็ไม่รู้ใครจะตายจากไปก่อน อะไรจะมาพรากเราไปจากกันโรคระบาด อบัติเหตุ สงคราม ดังนั้นแล้ว อย่าได้กลัวความโดดเดี่ยว เพราะมันเป็นหนทางหนึ่งที่คนเราต้องเดินผ่าน จะช้าหรือเร็วก็ต้องผ่าน เรียนรู้วิธีรับมือและอยู่กับความโดดเดี่ยวให้เป็น  ทุกคนได้เจอแน่ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง คนรวย คนเก่ง คนฐานะตำแหน่งสูงส่งเพียงเพียงใด ก็ทุกข์เพราะความโดดเดี่ยวเหมือน ๆ กัน

เงินทองไม่สามารถซื้อความตายและความโดดเดี่ยวได้เลย เราเห็นข่าวคนที่จากไปในช่วงขณะนี้ โรคร้ายมิได้เจาะจงเลือกคนใดคนหนึ่ง ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะถูกความตายอย่างโดดเดี่ยวเข้าครอบครอง แม้แต่ในยามปกติ คนร่ำรวย มีเงินมีทองมากมาย มีเพียบพร้อมทุกสิ่งทุกอย่าง ก็ทุกข์เพราะความโดดเดี่ยวได้เหมือนกัน คนอวดเก่ง คนที่มีตำแหน่งใหญ่โตก็เช่นกัน อาจจะได้เตียงในโรงพยาบาลดีกว่าคนอื่น แต่เมื่อเชื้อโควิดลงปอด กัดกินอวัยวะภายใน ความเก่งก็มิอาจจะช่วยได้ คนติดตาม คนที่เคยล้อมหน้าล้อมหลัง หรือแม้แต่หมอ ก็แค่ช่วยเหลืออยู่ห่าง ๆ ต้องต่อสู้อย่างโดดเดี่ยว หากคุณเด็ดเดี่ยวและอดทนต่อสู้กับโรคนี้ได้ถึงจะหายและรอดตาย มีคุณหมอท่านหนึ่งกล่าวไว้อย่างน่าสนใจ และให้เป็นบทเรียนแก่เราได้มากทีเดียวว่า

คุณลองคิดดูว่า ถ้าพ่อ แม่ พี่น้องหรือคนที่คุณรัก ต้องตกอยู่ในสภาพเดียวกับคนไข้ของเราล่ะ ไปส่งกันที่โรงพยาบาล ลูบหน้าลูบหลังลากัน แล้วนั่นคือสัมผัสสุดท้าย กอดสุดท้าย การลาครั้งสุดท้าย คุณยังไม่ได้สั่งเสีย ไม่ได้ขอโทษ ไม่ได้บอกรักกัน ไม่ได้บอกว่าคุณโชคดีที่ได้รู้จักและได้ใช้ชีวิตร่วมกัน เป็นพ่อ แม่ ลูกกัน เป็นคนรักกัน เป็นเพื่อนกัน นี่แหละ คือ ความทรมาน และปวดร้าวใจ … ตอนนี้ถึงเข้าใจว่าทำไมเราต้องให้อภัยกัน กอดกัน และบอกรักกันทุกวัน


ทุกคนที่กำลังต่อสู้กับความโดดเดี่ยวเดียวดาย จะรู้คุณค่าของการมีกันและกันมากที่สุด มากพอจะยอมเปลี่ยนชีวิตตัวเอง เราอาจจะลืมบางสิ่งบางอย่าง มองข้ามคนใกล้ตัว เราเองก็ปล่อยทิ้งใครบางคนให้เดียวดายอยู่ หันกลับมาใส่ใจกัน ไม่จำเป็นต้องออกไปหาคนอื่นคนไกล เห็นคุณค่าในกันและกันมากที่สุดในเวลานี้ ลึก ๆ แล้วความโดดเดียวอาจกำลังสะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของตัวเราเอง เรายังรักตัวเองไม่เป็นจึงรู้สึกโดดเดี่ยว หากเรารักตัวเองเป็นเราย่อมรักคนอื่นได้ง่าย วันนี้เราต้องให้ความรักเกิดขึ้นในทุกนาที เพราะรักเท่านั้นจะต้านภัยจากโรคร้ายนี้ และจะไม่ร้ความโดดเดี่ยว แม้ในวันที่เดียวดาย…

ไม่มีความคิดเห็น: