วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2563

แข็งแรงนิรันดร์กาล

 

แข็งแรงนิรันดร์กาล

และแล้วโรคไวรัสโควิด -19 ก็เข้ามาถึงเมืองหลวงจนได้ แม้จะยังไม่ระบาดออกผลรุนแรงมากนัก พบเพียงคนเดียว ก็ทำให้จิตใจผู้คนห่อเหี่ยวลง สิ่งสำคัญจำให้แม่น ๆ คือ การช่วยกันดูแลตัวเองให้แข็งแรงแข็งแกร่งเข้าไว้ อย่ามัวแต่ไปโทษกล่าวร้ายถึงความเห็นแก่ตัวของคนที่ไร้ความรับผิดชอบอยู่เลย เพราะเขาก็จะได้รับผลของการกระทำเหล่านั้นเอง บางทีเราก็ต้องเข้าใจด้วยเหมือนกันว่า ระบบระบบแห่งวัตถุนิยมสั่งสอนให้เราต่างก็เป็นคนเห็นแก่ตัวด้วยกันทั้งนั้น มุ่งให้ประสบผลสำเร็จทางด้วยรายได้ มุ่งหวังเพียงแค่มีหน้ามีตาในสังคม มีของใช้ที่ทันสมัย จนหลงลืมค่าของการมีชีวิต มุ่งหวังเพียงเสรีภาพตามใจตน มองเห็นประสบการณ์วันเวลาผ่านมาเป็นสิ่งเก่าโบราณ เอาตัวเองเป็นที่ตั้งไม่ยอมก้มหัวโน้มตัวให้ใคร ในสังคมแบบนี้มันแข็งแกร่งเพียงเปลือกนอกเท่านั้นแหละ

ใช่หรือไม่ ในยุคที่ทุกคนคิดว่าตัวเองแข็งแกร่ง แข็งแรงจึงไม่สนใจสิ่งแวดล้อมรอบข้างเช่นนี้ กลับไร้ภูมิ กลับอ่อนแอ อ่อนด้อยทางภูมิวิญญาณ โรคซึมเศร้า คือ โรคประจำยุคสมัย จะให้มันหมดในรุ่นเราคงเป็นเรื่องยากเสียแล้ว เพราะนับวันโรคนี้จะกัดกร่อนไปเรื่อย ๆ มันอาจจะระบาดมากกว่าโควิด-19 ก็เป็นไปได้ โรคนี้เริ่มต้นอาการที่เราเห็นง่าย ๆ คือ การหลงตัวเอง โรคนี้ระบาดมาพร้อม ๆ กับความเจริญของเทคโนโลยีสื่อสารนั่นแหละ เมื่อเราครองการสื่อสารที่อยู่ในมือได้ เราก็หลงคิดว่าเราได้ครอบครองโลก จะพูดจะส่ง จะทำอะไรก็ได้ตามใจปรารถนา ค่อย ๆ ปลุกจิตวิญญาณความดื้อด้านออกมาให้ยืนหนึ่ง แล้วก็ไปยึดโยงกับสิ่งที่ตัวเองเชื่อศรัทธา เพิ่มข้อมูลด้วยกลไกลอัลกอริทึม สร้างชุดข้อมูลด้านเดียว เราก็หยิบฉวยมาสวมใส่ เรียกมันว่า “อุดมการณ์” คิดว่าเป็นเสื้อเกราะสร้างความแข็งแกร่ง แล้วก็ออกท่องยุทธจักรออนไลน์ ไล่ล่าฟาดฟัน หาพวกหากลุ่มแบบสุ่ม ๆ ไป สร้างอาณาจักรเพื่อให้บรรลุตามจิตฝ่ายต่ำบัญชา ดูเหมือนจะดี ดูเหมือนจะช่วยกอบกู้โลก แต่แท้จริงแล้ว...โลกมันใหญ่โตและซับซ้อนเกินกว่าใครคนหนึ่งที่คิดว่าแข็งแรงสุดจะกอบกู้ได้ บางทีการอยู่ด้วยกันแบบถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน มีความอ่อนน้อม อ่อนโยน ทักทายปราศรัยกันด้วยอัธยาศัยที่ดีงาม ก็จะทำให้สังคมกลุมเล็ก ๆ ค่อย ๆ แข็งแรงขึ้น แม้ว่าอาจจะห่างสักเมตรสองเมตรตามมาตรฐานเพื่อป้องกันโรค แต่สายตาที่ส่งให้กันนั้น หากเป็นสายตาแห่งความอ่อนโยนมันก็ทำให้คนที่คุยด้วยอ่อนน้อมขึ้น

ชายคนหนึ่ง ชูกำปั้นในห้องประชุมแล้วท้าให้ใครต่อใครมาคลายกำปั้นโดยการแกะนิ้วของเขาให้ออกจากกันคนแล้วคนเล่าไม่สามารถทำได้ เพราะเขาแข็งแรงกว่า..

มีคนหนึ่งเดินออกมาแล้วยกมือไหว้คนที่กำมือคนนั้นก็ไหว้ตอบ เขาคลายกำปั้นออกโดยที่อีกคนหนึ่งไม่ได้ใช้แรงอะไรเลย เพียงแต่ไหว้เท่านั้น...!!!

ยิ่ง..อ่อนน้อมถ่อมตน..คนยิ่งรัก

ยิ่ง..เห่อศักดิ์ลืมตัว.....ยิ่งมัวหมอง

ยิ่ง..ถ่อมลงสูงระหง....เป็นยูงทอง

ยิ่ง..จองหองยิ่งอวดดี..ศรียิ่งทราม (จากสื่อออนไลน์)

ใกล้สิ้นปีเข้ามาทุกที อย่าให้วันเวลาผ่านไปแบบไร้ความสุข ลดตัวลงลดทิฐิลง ลดความแข็งแรงแห่งเปลือกลงบ้าง ลดความฉลาด ความเก่ง ความอวดรู้ลงสักหน่อย เปิดหัวใจฟังเสียงผู้คนรอบข้างสักนิด คิดทบทวน ไตร่ตรองชีวิตให้บ่อยขึ้น หันมาทำดีมากกว่าอวดดี ช่วยกันสร้างวัฒนธรรมแห่งรัก แบ่งปันเมตตาจิต ช่วยเหลือปลอบโยนกัน แล้วเดินหน้าไปในด้วยกัน สร้างกลุ่มก้อนเล็ก ๆ ให้เข้มแข็ง ดีกว่าจะสร้างโลกให้แข็งแรงเพียงลำพัง ชีวิตที่ต้องดำเนินต่อไปในวันโลกที่มีโรคดังเช่นวันนี้ เราต้องมีความอ่อนโยน น้อมนำพระคำสอนกลับมาขัดเกลาจิตใจ คำสอนเหล่านั้นไม่ใช่สิ่งโบราณ ไม่ใช่เพียงตำนาน แต่คือ สิ่งดีงามนิรันดร์กาลต่างหาก...

ไม่มีความคิดเห็น: