อย่ามีสุขโดยลืมสร้างสุข
อายุเริ่มมากขึ้น
ความคุ้นชินต่อสิ่งต่าง ๆ ก็มากตาม เห็นความเปลี่ยนแปลงที่มาอย่างรวดเร็ว
เห็นการจากลากลายเป็นเรื่องที่มิอาจจะหลีกเลี่ยง และสอนให้ตระหนักว่านี่คือ สิ่งที่ทุกคนต้องเจอ
ต่อให้มีทรัพย์สินมากมายเพียงใด มีความรู้สูงส่งแค่ไหน มีตำแหน่งใหญ่โตแล้วไง?
ดูสิ เจ้าโควิด-19 ไม่เคยสนใจใคร!!! ทุกคนมีสิทธิ์จะได้รับเชื้อนี้เท่าเทียมกัน
ถึงแม้ว่าเราจะเริ่มปรับตัวปรับใจให้เข้ากับมันได้ จนกลายเป็นความเคยชิน
และไม่นานเราก็หลงลืมด้วยการละเลยไร้การเคร่งครัด
ก็คงเหมือนกับหลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นในสังคม
ที่พอเป็นกระแสเพียงไม่นานเราก็จมหายไปในกระแสจนมิรู้ว่า แท้จริง กระแสนั้นคืออะไร?
มีปลาอาวุโสตัวหนึ่ง
ว่ายน้ำสวนทางกับลูกปลาสองตัว ปลาอาวุโสจึงทักทายขึ้นว่า
“อรุณสวัสดิ์หนูน้อย"
“น้ำเป็นไงบ้าง"
ลูกปลาสองตัวไม่ตอบ
ได้แต่ว่ายน้ำต่อไป สักพักตัวหนึ่งหันมามองหน้าเพื่อน แล้วถามขึ้นว่า
“เฮ้ย!
น้ำคืออะไร?”
(หนังสือ
: วิชาสุดท้ายที่มหาวิทยาลัยไม่ได้สอน)
ท่ามกลางกระแสเสพติดสื่อโซเชียล
ที่ว่ายเวียนอยู่กับข่าวสารข้อมูลที่ถูกระบบอัลกอริทึมคัดสรรมาให้เราเสพตามความชื่นชอบ
แล้วก็ค่อย ๆ แทรกซึมจนกลายเป็นวิถี ที่สุดก็เปลี่ยนแปลงเป็นนิสัย
สิ่งที่ได้เห็นบ่อย ๆ ได้ยินถี่ ๆ ไม่นานสิ่งนั่นจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต แล้วเราก็จะจดจ่อกับสิ่งนั้นจนหลงลืมบางสิ่งบางอย่างในชีวิตไป
ละเลยวิถีที่เคยมีมา ใช้เวลาหมดไปกับเครื่องมากกว่าอยู่กับคน เรามักละเลยและมองไม่เห็น
สิ่งที่เป็นอยู่ สิ่งที่มีอยู่ เฉกเช่นปลาที่อยู่กับน้ำมาตั้งแต่เกิด จนไม่สามารถรู้ได้ว่าน้ำคืออะไร?
ใช่หรือไม่ เรามีลมหายใจ แต่เราไม่ค่อยรู้สึกถึงการมีอยู่ของลมหายใจ
เรามีความสุขในความพอเพียงแต่เราก็ยังรู้สึกไม่เพียงพอ เรามีชีวิตที่ดี
แต่เราไม่รู้สึกว่าที่เป็นอยู่คือ ชีวิตที่ดี เราไม่เคยเห็นคุณค่าของสิ่งใกล้ตัวกลับมองหาในสิ่งที่อยู่ไกลเกินเอื้อมและให้คุณค่าอย่างสุดจิตสุดใจ
ผู้คนวันนี้ต่างว่ายตามกระแสไปเรื่อย ๆ โดยมีความอยากเป็นเหมือนเครื่องยนต์ขับเคลื่อน มองไปแต่ข้างหน้าอย่างเดียว ละเลยสิ่งที่อยู่ข้าง อยากไปให้เร็วไว อยากเป็นเหมือนคนนั้น อยากได้สิ่งที่ดี อยากครอบครองตำแหน่งใหม่ ๆ อยากมีนั่นมีนี่ จนเราเผลอลืมความสุขง่าย ๆ ที่หาได้จากทุกวัน จากคนใกล้ชิด จากการพูดคุยกับเพื่อนฝูง จากการได้เห็นความเติบโตของลูกหลาน เห็นความงามของท้องฟ้า ต้นไม้ใบหญ้าที่งอกงาม ลองละสายตาจากเครื่อง หันมาใส่ใจกับผู้คนรอบข้างสักหน่อย แล้วจะพบว่า แค่ได้เป็น “คน” ก็เป็นสุข หัดนั่งลงนิ่ง ๆ ในพื้นที่เงียบ ๆ และเตือนตัวเอง บอกตัวเอง เพื่อให้ได้รู้สึกกับตัวเองว่า หยุดความคิด เพื่อเปิดทางหัวใจหลีกทางให้รักนำดูบ้าง ให้หัวใจส่งผ่านกาลเวลา อย่าใช้แค่หัวสมองเพียงอย่างเดียว
บางทีเพราะเราหลงลืมละเลยที่จะขอบคุณตนเอง
ขอบคุณผู้ที่เคยปกป้องดูแล ขอบคุณต้นไม้ ทะเล ภูเขา สายลม และแสงแดด ที่สุดอย่าลืมขอบคุณพระเจ้า
ด้วยการอ่อนน้อมถ่อมตนกับธรรมชาติ ใส่ใจสิ่งเล็ก
ๆ รอบตัว เห็นคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม ทบทวนไตร่ตรองตนเองบ้างว่า
จะทุกข์ไปทำไม เราก็แค่เศษเสี้ยวจักรวาล เรามามีชีวิตบนโลกนี้เพียงชั่วคราว จะโกรธ
จะเกลียด จะเห็นแก่ตัว อวดตัวกันไปเพื่อให้ได้อะไร ความสุขไม่เคยหายไปไหน
ยังอยู่กับเราเสมอ อยู่ในหัวใจเรา ความสุขอยู่ที่ใจที่วางให้เป็น อยู่ที่ใจที่มั่นคง
อยู่ในใจที่เปี่ยมรักและเมตตา ความสุขแท้จริงอยู่ตรงนั้น อย่าลืมและอย่าละเลยที่จะสร้างสุขให้เกิดขึ้นทุกวัน
และจะดีเพียงใดในวันสุดท้ายปลายทางชีวิตเราคืนความสุขนั้นให้กับพระเจ้า ความสุขเป็นของพระเจ้า
เราต้องนำกลับคืนให้กลับพระองค์ อย่าว่ายเวียนในกระแสความสุขนี้จนไม่รู้ว่าความสุขที่แท้คืออะไร?
เพราะนี่จะเป็นการมีชีวิตที่เปล่าประโยชน์อย่างยิ่ง....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น