คนชอบทำ
สถานการณ์โรคระบาดโควิด-19
คงยังร้ายแรงอยู่ หลายประเทศมีผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตมากขึ้นในทุก ๆ วัน
ในประเทศสหรัฐอเมริกาเสียชีวิตไปกว่าสองแสน ในยุโรป เริ่มอาการหนักหน่วงขึ้น
ฝรั่งเศส อังกฤษ เริ่มเคร่งครัดและอาจจะเริ่มปิดเมืองกันอีกรอบ ประเทศเพื่อนบ้าน รอบ
ๆ เมืองเราก็อยู่ในช่วงสาหัส ดูแล้วโควิด-19 คงไม่จากโลกนี้ไปง่าย ๆ ประเทศไทยเราควรต้องระมัดระวังให้มากยิ่งขึ้น
เพราะมันอยู่ใกล้แค่ปลายจมูก อย่าประมาทคิดจะรอดปลอดภัยตลอดไป ป้องกันตัวไว้ดีกว่า
แต่ละคนต้องช่วยกันทำจริง ๆ จัง ๆ อย่าปล่อยให้คนอื่นหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นคนทำไปแต่ฝ่ายเดียว
ใคร ๆ ก็รู้ว่า โควิด-19 ไม่เคยเลือกที่รักมักที่ชัง ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน ที่จะติดเชื้อได้ทุกเมื่อ
ยิ่งมองเห็นหลายคนที่พยายามทำเพื่อป้องกันแต่ไม่ได้รับความร่วมมือก็เริ่มท้อเริ่มถอย
ด้วยเพราะมีหลายคนไม่ใส่ใจ เอาแต่ใจ สะใจตัวเองกันอย่างเดียว
หลายคนที่พยายามทำหรือช่วยให้คนอื่นอยู่ในมาตรการรักษาความปลอดเชื้อกลับถูกหยามเกียรติ
ถูกบ่นถูกกล่าวว่า เริ่มหมดกำลังใจ สังคมไทยมักเป็นแบบนี้ เรามักง่าย เราเห็นแก่ตัวกันเกินไป
ถ้าหากเรายังไม่ร่วมมือกัน โอกาสที่จะเกิดการระบาดอย่างหนักก็มีสูง...ภาพ : อินเทอร์เน็ต
ในช่วงวิกฤติโควิดนี้
มีคนไม่น้อยที่มักชอบจะทำอะไรแบบเงียบ ๆ
ทำในสิ่งที่ตัวเองเห็นว่ามีประโยชน์ต่อส่วนรวม และพร้อมที่จะถอยออกมา ถ้าเห็นว่าสิ่งที่ทำนั้นไร้ประโยชน์หรือสร้างปัญหา
ซ้ำร้ายหลายคนพบเจอปัญหาที่คล้ายคลึงกัน นั่นคือ ความเข้าใจผิดที่มีบางคนคิดว่า สิ่งที่เราทำนั้นต้องการอยากเด่น
อยากดัง อยากโชว์ โดยที่มิได้มองให้ลึกลงไปถึงความตั้งใจจริง
เห็นกันเพียงว่าจะมาเด่นมาดังกว่ากันไม่ได้ จึงกดดัน กีดกัน มีไม่น้อยจึงถอยกลับ หันหลังเดินออกมาจากตรงจุดนั้น
แล้วไปทำสิ่งที่ดีงาม ในสถานที่อื่น ในที่ ๆ มีคนพร้อมน้อมรับ ในบางครั้งมีบ้างที่เราทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดด้วยใจบริสุทธิ์
แต่กลับถูกมองว่าทำเกินหน้าที่ ทำเกินขอบเขต ถ้าเป็นเช่นนี้ เมื่อรับรู้ว่าทำให้คนอื่นคิดมาก
ทำให้ผู้อื่นเข้าใจเจตนาเราผิดไป ก็แค่หยุดทำ
มีสิ่งอื่นที่อื่นให้เราทำอีกมากมายในโลกใบนี้ คนที่ปฎิบัติแบบนี้ได้ ย่อมเป็นคนที่ผ่านการฝึกฝนพลังจิตใจมาพอสมควร
เพราะสิ่งที่ทำไปนั้น เขามิได้เอาตัวตนเป็นที่ตั้ง มีผลที่จะก่อเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมต่างหากเป็นเป้าหมายปลายทาง
ในชีวิตจริงบางช่วงจังหวะ
บางเวลา บางอารามณ์อาจจะไม่เข้าใจ อาจจะรู้สึกหงุดหงิดว่าอะไรกัน? ทำไมต้องคิดกันไปไกลขนาดนั้น?
หากเราเติบโตพอที่จะเข้าใจโลกเข้าใจคน เราก็จะทำเหมือนคำสั่งสอนของพระเยซูเจ้าที่ตรัสกับศิษย์ไว้ว่า “ถ้าเขาไม่ต้อนรับท่าน
จงออกจากเมืองนั้นและสลัดฝุ่นจากเท้าไว้เป็นพยานกล่าวโทษเขา” ( ลก9: 6 ) คำสอนนี้เป็นปัจจุบันเสมอ
ใครไม่เข้าใจ ใครไม่ใคร่ให้เราทำสิ่งที่มีประโยชน์ก็อย่าได้ดันทุรังทำ
เดินออกมาแล้วไปทำให้กับคนที่เขาต้องการ โลกนี้ยังกว้างพอที่จะให้เราเติมความดีลงไป
เป็นการปล่อยวางตัวตน ไม่ยึดติด และเราจะเป็นคนเช่นนี้ได้ เราต้องเรียนรู้ที่จะเข้าใจตัวเอง
อยู่กับความเงียบให้เป็น สวดภาวนาของพระจิตนำทาง
และเมื่อถึงจังหวะหนึ่งสิ่งดีที่เราทำย่อมเกิดดอกออกผลในตัวมันเองอย่างแน่นอน
รางวัลของเรา คือ ความสุขใจที่ได้เห็นผลเหล่านั้นมิใช่หรือ??? คุณค่าทางจิตใจมีค่ามากกว่ามูลค่าภาพ : อินเทอร์เน็ต
ปล่อยให้ตัวเองได้อยู่เงียบ ๆ บ้าง ได้ฟังเสียงความคิด
ฟังเสียงของหัวใจของตัวเอง
การที่เปิดโอกาสให้เห็นมุมที่อ่อนแอและรับรู้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง จะทำให้เราสามารถจัดการกับความรู้สึกเหล่านี้ได้เร็วยิ่งขึ้น
ในสังคมวันนี้เราจึงเห็นคนที่มักรับปากไว้ก่อนที่จะลงมือเพื่อให้ได้หน้าได้ตา
มักเป็นคนที่ไม่คิดก่อนทำ ส่วนคนที่รอบคอบสักหน่อยจะคิดก่อนทำ
ถ้าไม่แน่ใจก็ไม่กล้ารับปาก ขอลองทำก่อนลงมือ เราจึงมักเห็นคนสองประเภทนี้เสมอในทุกสังคมแต่ก็แปลก!!!
คนที่มักได้รับการยอมรับมักเป็นคนประเภทแรก เหมือนว่ามีน้ำใจงาม
รับปากทุกเรื่อง เอาเข้าจริงทำแล้วก็ส่งผลกระทบไปทั่ว มนุษย์มักมองเห็นด้วยตาเท่านั้น
ในเวลาเช่นนี้ ในช่วงที่เรากำลังหวาดวิตก
หากเกิดการระบาดที่ร้ายแรงขึ้นอีกครั้ง เราจะรอดปลอดภัยหรือเปล่า? หากเราก้าวเดินหน้าไป ทำในสิ่งดีก็อย่าได้วิตกกังวล
บางทีโรคโควิด-19 ก็ยังคงอยากจะสอนเราอีกว่า ลดลงตัวตนกันให้มากกว่านี้
ลดความเห็นแก่ตัว ในลดทิฐิ ลดการอวดเก่ง ชอบโชว์ แล้วหันมาทำความดีกันจริง ๆ
จัง ๆ มิใช่แต่เพียงทำด้วยปาก แต่ต้องทำด้วยหัวใจอันบริสุทธิ์ ในสวนองุ่นที่พระเจ้าส่งเรามาอยู่นี้...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น