อัศจรรย์วันธรรมดา
ภาวะธรรมดาของหนทางชีวิตเริ่มค่อย
ๆ กลับคืนสู่ผู้คน
โรงเรียนเริ่มเปิด รถเริ่มติด รถสาธารณะเริ่มแน่น
หลายคนเริ่มสู่ชีวิตที่แสนจะธรรมดา หลังจากที่ถูกผลกระทบจากโรคระบาดโควิด-19
กัดกินโลกไปค่อนใบ มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย จนกลายเป็นความธรรมดาไปเสียแล้ว
วันนี้เราเริ่มต้นชีวิตเก่าในรูปแบบใหม่ขึ้น เป็นความธรรมดาที่เปลี่ยนไป
ในช่วงเกือบร้อยกว่าวันที่ผ่านมา
เราได้เรียนรู้ถึงความอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในคุณค่าของชีวิต
เสมือนกับเป็นการฉุดให้หยุด แล้วค่อย ๆ ฟื้นฟูกันขึ้นมาใหม่ สังเกตเห็นหลายคน เริ่มมองเห็นความสวยงาม
ความอัศจรรย์รอบ ๆ ตัวในทุกช่วงเวลา
ส่วนตัวก็เช่นกันได้เห็นอะไรหลายอย่างที่ไม่เคยมองทั้ง ๆ ที่มันมีอยู่แล้ว
จนรู้สึกพิศวงในความอัศจรรย์ของวันเวลา
ยามเช้า บางวันที่ต้องตื่นตั้งแต่เช้าตรู่เพื่อมาทำภารกิจบางอย่าง
หลายครั้งท้องฟ้ายังมืดมิดไร้แสง แต่บ่อยครั้งได้เห็นแสงอ่อน ๆ ปริ่ม ๆ ขอบฟ้าไกล
สีของท้องฟ้าในเวลาเดียวกันไม่เหมือนกันสักวัน บางวันมืดมิด บางวันมีสีสัน ชีวิตคนเราก็เช่นนั้นมีมืดมนหม่นหมองวันเศร้า
มีสีสันสว่างใสวันสุข แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปหมุนเวียนวนกันเข้ามา สำหรับคนที่ตระหนักรู้ก็จะมองเห็นเป็นเพียงธรรมดาสามัญ
ทำให้ชีวิตเรามีมิติ มีแข็งแกร่งมีอ่อนโยน มีกล้าหาญมีอ่อนแอ
แต่แท้จริงทุกวันมีความรักอยู่ในนั้นเสมอ
ยามสาย ในช่วงเวลาที่ต้องอยู่กับบ้าน
ตามคำแนะนำของภาครัฐ หลายคนอาจจะมีช่วงเวลาตื่นนอนสาย ๆ จนเริ่มรู้สึกเบื่อกับการตื่นสาย
หรือเริ่มตื่นมาไม่รู้จะทำอะไรดี สิ่งหนึ่งที่มักทำประจำ คือ การรดน้ำต้นไม้หน้าบ้าน
บ่อยครั้งก็รด ๆ ไปก็ไม่ได้มองเห็นความเปลี่ยนแปลง แต่เมื่อมีเวลามากขึ้น
เริ่มดูความต้องการน้ำของต้นนั้นต้นนี้ว่าควรต้องให้ปริมาณเท่าไร พอเริ่มใส่ใจ ผลที่ตามมา
ต้นบางต้นเริ่มผลิดอก อัศจรรย์วันธรรมดาก็สร้างสุขได้ ดอกไม้ที่บานยามสาย
ให้ชื่นชมไม่นาน ใกล้ ๆ เที่ยงก็เริ่มห่อเหี่ยวเฉาไป วันใหม่ก็ออกดอกใหม่ให้ชื่นชม
บางวันก็ไม่ออก ทำให้ทุกวันต้องลุ้นว่าวันนี้จะมีให้เห็นหรือไม่ สร้างความหวังน้อย
ๆ บนวิถีธรรมดา
ยามบ่าย
ความร้อนแดดเมืองไทยที่ร้อนแรงเหลือเกินในช่วงเดือนที่ผ่านมา
และจากการที่เราหยุดเชื้อเพื่อชาติ ด้วยมาตรการให้ทำงานที่บ้าน
ทำให้มลพิษบนท้องฟ้าลดลงไป หลายครั้งเราเห็นฟ้าใสเมฆสวยปรากฎให้เห็น จากที่สลัวขมุกขมัว
มองไปมีแต่ความขุ่นมัวมานาน โควิด-19 ทำให้หลายเมืองในโลก ลดมลพิษทางอากาศ แต่เพิ่มความกังวลด้านเศรษฐกิจ
กลางวันที่เคยเป็นวิถีขับเคลื่อนอุตสาหกรรม
ขับเคลื่อนระบบการหาเงินมาเป็นเวลาหลายร้อยปี อยู่ ๆ ต้องหยุดชะงัก
ย่อมก่อให้เกิดผลกระทบตามมาอย่างมหาศาล วันนี้เริ่มต้นกันใหม่
ยามบ่ายเริ่มเห็นความพลุกพล่านของผู้คนออกมาหาของกิน ออกมานั่งในร้านอาหาร
ที่ถูกแบ่งให้มีระยะห่าง ต่างก็รักษาวินัยกัน เพื่อไม่ให้เกิดการระบาดรอบสองเพราะหากเกิดขึ้นมาอีก
ก็จะทำให้ยิ่งแย่กันไปกันใหญ่ นี่จึงเป็นความอัศจรรย์ยามบ่ายที่เราเห็นความมีวินัยมากขึ้น
มีความร่วมมือกันอย่างเต็มที่ ตั้งแต่เด็กจนผู้ใหญ่
ยามค่ำคืน กี่ครั้งแล้วที่เราก้มหน้าก้มตาจนลืมดูเวลานาที
บางครั้งทำงานจนมืดค่ำ หน้าดำหน้าแดง หมดเรี่ยวแรงที่จะมองเห็นแสงสวยยามค่ำคืน
แสงจันทร์ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ไม่เคยมองไร้อารมณ์ถวิลหา แท้จริงดวงจันทร์ก็ไม่เคยหนีหายหรือเบื่อหน่ายที่จะทำหน้าที่
ยังคงสาดแสงอ่อนละมุนมาทุกคืน จันทร์เสี้ยวกับมุมตึกสูง เป็นช่วงจังหวะที่แหงนมอง
จนทำให้รู้สึกถึงความเป็นจริงของสิ่งสร้างที่เที่ยงแท้ แล้วเราจะหาความเที่ยงแท้ให้กับวิถีชีวิตได้อย่างไร?
หากไม่เหลียวมองคนอื่น มองเห็นความอัศจรรย์ของผู้คนรอบตัวเรา
บางทีถ้าไม่มีคนกวาดถนน
เราจะเห็นความสะอาดหรือไม่? ไม่มีคนขับรถบริการสาธารณะ
เราจะไปถึงเป้าหมายได้หรือเปล่า?
ไม่มีพ่อค้าแม่ขายเราจะอิ่มเอมโดยไม่ต้องเสียเวลาทำกินเองไหม?
ถ้าไม่มีครอบครัวที่อบอุ่นเราจะรู้สึกถึงความห่วงใยกันได้อย่างไร? ความอัศจรรย์ในวันเวลาที่แสนธรรมดา
เมื่อมองด้วยใจเราจะเห็นความรักอันยิ่งใหญ่อยู่ตรงนั้นนั่นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น