วันเสาร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2563

โควิดจิตวิญญาณ


โควิดจิตวิญญาณ
ครึ่งปีผ่านไป เวลาเดินทางอย่างรวดเร็วแต่มั่นคงเสมอ หลังจากที่ต้องถูกกักตัวกันมานานเป็นร้อยวัน เมื่อมีมาตรการผ่อนคลายหลายคนก็เริ่มออกจากบ้านไปพักผ่อนตามที่ต่าง ๆ กันบ้าง โดยเฉพาะวันหยุดติดต่อกันมักจะเห็นผู้คนออกไปอยู่กับธรรมชาติ นี่แหละความเป็นหนึ่งเดียวของสรรพสิ่งสร้างที่มิอาจจะแยกจากกันได้ ถึงแม้เราจะมีเสรีภาพในการดำเนินชีวิต แต่บางสถานการณ์เราก็ต้องเคารพกฎกติกาของส่วนรวม การได้เห็นต้นไม้สูงใบหญ้าต่ำเตี้ย ใบข้าวเขียวขจี แสงแดดส่องสีทองอร่าม สายลมเย็นกลางทุ่ง ยืนชมความงามริมทุ่ง ทำให้หวนคิดถึงหลายเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมา
แม้ว่าประเทศไทยจะไม่มีคนติดเชื้อไวรัสโควิด-19 มาเป็นเวลานานพอสมควร แต่เราก็ยังต้องดำเนินชีวิตตามกรอบกฎวินัยอย่างเคร่งครัดต่อไป เพราะการระบาดยังคงมีมากขึ้นในหลาย ๆ ประเทศ บางแห่งก็คิดเอาเองว่าเสรีภาพสำคัญกว่าสุขภาพ เสรีชนสำคัญกว่าสาธารณะชน อันนี้ก็สุดแล้วแต่พื้นฐานทางทัศนคติที่ได้เพาะบ่มกันมา สำหรับเราประเทศไทยเราก็เดินตามคำแนะนำทางการแพทย์ไทยเราต่อไป ใครจะรู้ดีเรื่องในบ้านเราเท่ากับคนในบ้านเราเล่า!!!แม้แต่เรื่องลิงเก็บมะพร้าว วัฒนธรรมเก่าแก่ วิถีชุมชนยังต้องมาสับสนกับเรื่องการสิทธิเสรีภาพ เพื่อการค้าการขาย เป็นเรื่องที่สังคมหนึ่งหยิบยื่นให้อีกสังคมหนึ่งทำตาม ไม่งั้นไม่ซื้อไม่ขายของด้วย ตราบใดที่เราเอาเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ นำหน้าทุกอย่าง ตราบนั้นเราก็ไร้ซึ่งความมีน้ำใจต่อกัน
โควิด-19 ติดต่อง่ายด้วยการติดต่อสื่อสาร แต่โควิดทางจิตวิญญาณยิ่งติดง่ายและฝังรากลึกลงไปอย่างยากที่จะถอนขึ้น บ่อยครั้งระบบที่สร้างกันขึ้นมาก็นำเอาความเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัวฝังลงในนิสัยผู้คน ต้องมีความรู้ และยิ่งต้องรู้ไปหมดทุกเรื่อง ต้องมีความสามารถพิเศษ ต้องมีข้าวของเงินทอง ต้องมีประสบการณ์สูง ต้องเป็นไลฟ์โค้ช ทั้งหมดนี้เพื่อสร้างตัวเองให้สูงส่ง สร้างตัวเองให้เด่นดัง มิได้ถูกปลูกหวังให้เป็นอนาคตเพื่อช่วยเหลือเสริมส่งกันและกัน สร้างให้แต่ละคนเป็นเอกบุรุษ สิ่งเหล่านี้ยิ่งมียิ่งนำไปสู่โรคร้ายทางวิญญาณที่เป็นกันอยู่ในปัจจุบัน ผู้คนทุกวันนี้ป่วย ถูกโควิดกัดกินจิตวิญญาณมายาวนาน  เมื่อใจป่วย การอยู่ร่วมกันทางสังคมก็อ่อนแอ อ่อนหล้า มีความรู้มากมายแต่กลายเป็นว่าไร้สติปัญญา ไม่สามารถจะแก้ปัญหาชีวิตได้ เกิดอาการซึมเศร้าเหงาทรวง แต่ละคนดูจะเหนื่อยล้าต้องการกำลังใจ ต่างคนต่างมีปัญหาที่หลบซ่อนในชีวิตด้วยกันทั้งนั้น
บ่อยครั้งเรามักเอาความรู้นำความรัก หากเราพยายามให้คนรุ่นนี้รู้รักที่จะนำความรู้ออกไปใช้เพื่อสร้างให้เกิดสันติสุขในสังคมให้เป็นแล้ว ความร่มเย็นคงตามมา อย่าไปกังวลว่าจะต้องมีความรู้มากมาย ต้องเรียนจบสูง ๆ ต้องเก่งอย่างโน่นเก่งอย่างนี่สารพัด มีไม่น้อยที่เราเห็นคนที่เรียนจบปริญญาเอก โท แต่ชีวิตภายในเพียงแค่เตรียมอนุบาล เหมือนดังคำที่ว่าไว้ ฉลาดแต่ไม่เฉลียว คนเป็นพ่อแม่สมัยนี้ก็ต้องเข้าใจจุดนี้ให้ลึกซึ้ง จะได้ไม่ไปบังคับเคี่ยวเข็ญให้ลูกหลานต้องเรียนให้ได้คะแนนเยอะ ๆ เกรด 4 มีความสามารถรอบด้าน จนกระทั่งลูกหลานเกิดความเครียด โตมาแบบหัวโตใจแคบ จัดลำดับความสำคัญในชีวิตก็ไม่เป็น เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง ไม่ได้ดังใจก็โวยวายเรียกร้อง พ้องเพื่อนไม่เคยจริงใจไร้คนคบหาสมาคม แล้งไร้น้ำใจต่อกัน หันมาอวดแข่งดีแข่งเด่นกันและคอยแสวงหาความสำเร็จให้เป็นที่ยอมรับแต่เฉพาะของตัวเอง

เมื่อเราเหนื่อยหน่ายเรายังกลับไปหาธรรมชาติให้ช่วยบำบัด โรคทางวิญญาณจะทุเลาลงได้ต้องกลับมาที่จุดเดิม คือ “น้ำใจ” ที่มอบให้กัน นี่จึงเป็นการรักษาโควิดจิตวิญญาณแบบค่อยเป็นค่อยไป เริ่มจากไหนก่อนล่ะ ก็เริ่มจากคนใกล้ชิด คนรอบตัวเรานี่แหละ ต้นตาลที่สูงเด่นแต่ดูเงียบเหงา ก็สู้เหล่าต้นข้าวที่ชูช่อไสวล้อเล่นลมกันอย่างเบิกบานไม่ได้ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า เราต้องหยุดและเปลี่ยนทัศนคติที่ว่า คนที่จะประสบความสำเร็จได้นั้นจะต้องมี ความรู้ความสามารถ มีเงินมีทอง มีตำแหน่งหน้าที่การงานสูง รู้ทุกเรื่อง ทำเก่งทุกด้าน ไม่กลัวปัญหา แก้ปัญหาให้คนอื่นได้ เราจึงจะไปช่วยเหลือคนอื่นได้ ไม่ใช่เลยอย่าไปให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้มากนัก เอาแค่มีน้ำใจให้กันอย่างจริงใจ ทำอะไรแล้วมิต้องคาดหวัง พึ่งพาอาศัยกัน คนที่สูงใหญ่กว่าย่อมต้องเสียสละมากกว่า รับแสงแดดที่แรงกว่า และคอยให้ร่มเงาแก่ผู้น้อย ส่วนผู้น้อยก็เกี่ยวก้อยร้อยใจยึดฐานไว้เพื่อให้ผู้สูงใหญ่ได้มั่นคง ต่างสิ่งเอื้อเกื้อกูลกัน ถ้าสังคมเป็นเช่นนี้ได้ โควิดจิตวิญญาณก็จะอ่อนแรงและไม่อาจจะทำลายความเป็นมนุษย์ของพวกเราได้เลย

ไม่มีความคิดเห็น: