โควิดจิตวิญญาณ
ครึ่งปีผ่านไป
เวลาเดินทางอย่างรวดเร็วแต่มั่นคงเสมอ หลังจากที่ต้องถูกกักตัวกันมานานเป็นร้อยวัน
เมื่อมีมาตรการผ่อนคลายหลายคนก็เริ่มออกจากบ้านไปพักผ่อนตามที่ต่าง ๆ กันบ้าง
โดยเฉพาะวันหยุดติดต่อกันมักจะเห็นผู้คนออกไปอยู่กับธรรมชาติ นี่แหละความเป็นหนึ่งเดียวของสรรพสิ่งสร้างที่มิอาจจะแยกจากกันได้
ถึงแม้เราจะมีเสรีภาพในการดำเนินชีวิต แต่บางสถานการณ์เราก็ต้องเคารพกฎกติกาของส่วนรวม
การได้เห็นต้นไม้สูงใบหญ้าต่ำเตี้ย ใบข้าวเขียวขจี แสงแดดส่องสีทองอร่าม
สายลมเย็นกลางทุ่ง ยืนชมความงามริมทุ่ง ทำให้หวนคิดถึงหลายเรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาที่ผ่านมา
แม้ว่าประเทศไทยจะไม่มีคนติดเชื้อไวรัสโควิด-19
มาเป็นเวลานานพอสมควร
แต่เราก็ยังต้องดำเนินชีวิตตามกรอบกฎวินัยอย่างเคร่งครัดต่อไป
เพราะการระบาดยังคงมีมากขึ้นในหลาย ๆ ประเทศ บางแห่งก็คิดเอาเองว่าเสรีภาพสำคัญกว่าสุขภาพ
เสรีชนสำคัญกว่าสาธารณะชน อันนี้ก็สุดแล้วแต่พื้นฐานทางทัศนคติที่ได้เพาะบ่มกันมา
สำหรับเราประเทศไทยเราก็เดินตามคำแนะนำทางการแพทย์ไทยเราต่อไป ใครจะรู้ดีเรื่องในบ้านเราเท่ากับคนในบ้านเราเล่า!!!แม้แต่เรื่องลิงเก็บมะพร้าว
วัฒนธรรมเก่าแก่ วิถีชุมชนยังต้องมาสับสนกับเรื่องการสิทธิเสรีภาพ
เพื่อการค้าการขาย เป็นเรื่องที่สังคมหนึ่งหยิบยื่นให้อีกสังคมหนึ่งทำตาม
ไม่งั้นไม่ซื้อไม่ขายของด้วย ตราบใดที่เราเอาเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ นำหน้าทุกอย่าง
ตราบนั้นเราก็ไร้ซึ่งความมีน้ำใจต่อกัน
โควิด-19
ติดต่อง่ายด้วยการติดต่อสื่อสาร
แต่โควิดทางจิตวิญญาณยิ่งติดง่ายและฝังรากลึกลงไปอย่างยากที่จะถอนขึ้น
บ่อยครั้งระบบที่สร้างกันขึ้นมาก็นำเอาความเห็นแก่ได้เห็นแก่ตัวฝังลงในนิสัยผู้คน
ต้องมีความรู้ และยิ่งต้องรู้ไปหมดทุกเรื่อง ต้องมีความสามารถพิเศษ
ต้องมีข้าวของเงินทอง ต้องมีประสบการณ์สูง ต้องเป็นไลฟ์โค้ช ทั้งหมดนี้เพื่อสร้างตัวเองให้สูงส่ง
สร้างตัวเองให้เด่นดัง มิได้ถูกปลูกหวังให้เป็นอนาคตเพื่อช่วยเหลือเสริมส่งกันและกัน
สร้างให้แต่ละคนเป็นเอกบุรุษ สิ่งเหล่านี้ยิ่งมียิ่งนำไปสู่โรคร้ายทางวิญญาณที่เป็นกันอยู่ในปัจจุบัน
ผู้คนทุกวันนี้ป่วย ถูกโควิดกัดกินจิตวิญญาณมายาวนาน เมื่อใจป่วย
การอยู่ร่วมกันทางสังคมก็อ่อนแอ อ่อนหล้า
มีความรู้มากมายแต่กลายเป็นว่าไร้สติปัญญา ไม่สามารถจะแก้ปัญหาชีวิตได้
เกิดอาการซึมเศร้าเหงาทรวง แต่ละคนดูจะเหนื่อยล้าต้องการกำลังใจ
ต่างคนต่างมีปัญหาที่หลบซ่อนในชีวิตด้วยกันทั้งนั้น
บ่อยครั้งเรามักเอาความรู้นำความรัก
หากเราพยายามให้คนรุ่นนี้รู้รักที่จะนำความรู้ออกไปใช้เพื่อสร้างให้เกิดสันติสุขในสังคมให้เป็นแล้ว
ความร่มเย็นคงตามมา อย่าไปกังวลว่าจะต้องมีความรู้มากมาย ต้องเรียนจบสูง ๆ
ต้องเก่งอย่างโน่นเก่งอย่างนี่สารพัด มีไม่น้อยที่เราเห็นคนที่เรียนจบปริญญาเอก
โท แต่ชีวิตภายในเพียงแค่เตรียมอนุบาล เหมือนดังคำที่ว่าไว้
ฉลาดแต่ไม่เฉลียว คนเป็นพ่อแม่สมัยนี้ก็ต้องเข้าใจจุดนี้ให้ลึกซึ้ง
จะได้ไม่ไปบังคับเคี่ยวเข็ญให้ลูกหลานต้องเรียนให้ได้คะแนนเยอะ ๆ เกรด 4
มีความสามารถรอบด้าน จนกระทั่งลูกหลานเกิดความเครียด โตมาแบบหัวโตใจแคบ
จัดลำดับความสำคัญในชีวิตก็ไม่เป็น เอาตัวเองเป็นที่ตั้ง
ไม่ได้ดังใจก็โวยวายเรียกร้อง พ้องเพื่อนไม่เคยจริงใจไร้คนคบหาสมาคม แล้งไร้น้ำใจต่อกัน
หันมาอวดแข่งดีแข่งเด่นกันและคอยแสวงหาความสำเร็จให้เป็นที่ยอมรับแต่เฉพาะของตัวเอง
เมื่อเราเหนื่อยหน่ายเรายังกลับไปหาธรรมชาติให้ช่วยบำบัด
โรคทางวิญญาณจะทุเลาลงได้ต้องกลับมาที่จุดเดิม คือ “น้ำใจ” ที่มอบให้กัน นี่จึงเป็นการรักษาโควิดจิตวิญญาณแบบค่อยเป็นค่อยไป
เริ่มจากไหนก่อนล่ะ ก็เริ่มจากคนใกล้ชิด คนรอบตัวเรานี่แหละ ต้นตาลที่สูงเด่นแต่ดูเงียบเหงา
ก็สู้เหล่าต้นข้าวที่ชูช่อไสวล้อเล่นลมกันอย่างเบิกบานไม่ได้ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า
เราต้องหยุดและเปลี่ยนทัศนคติที่ว่า คนที่จะประสบความสำเร็จได้นั้นจะต้องมี
ความรู้ความสามารถ มีเงินมีทอง มีตำแหน่งหน้าที่การงานสูง รู้ทุกเรื่อง ทำเก่งทุกด้าน
ไม่กลัวปัญหา แก้ปัญหาให้คนอื่นได้ เราจึงจะไปช่วยเหลือคนอื่นได้ ไม่ใช่เลยอย่าไปให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้มากนัก
เอาแค่มีน้ำใจให้กันอย่างจริงใจ ทำอะไรแล้วมิต้องคาดหวัง พึ่งพาอาศัยกัน
คนที่สูงใหญ่กว่าย่อมต้องเสียสละมากกว่า รับแสงแดดที่แรงกว่า
และคอยให้ร่มเงาแก่ผู้น้อย ส่วนผู้น้อยก็เกี่ยวก้อยร้อยใจยึดฐานไว้เพื่อให้ผู้สูงใหญ่ได้มั่นคง
ต่างสิ่งเอื้อเกื้อกูลกัน ถ้าสังคมเป็นเช่นนี้ได้ โควิดจิตวิญญาณก็จะอ่อนแรงและไม่อาจจะทำลายความเป็นมนุษย์ของพวกเราได้เลย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น