จำยอมไม่จำเจ
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาหลายที่หลายประเทศเริ่มผ่อนคลายการล็อคดาวน์ลง
ให้ผู้คนสามารถออกจากที่พักอาศัยมาทำงาน มาทำกิจกรรมได้บ้าง แต่ก็ยังเคร่งครัดในเรื่องการป้องกัน
มีระยะห่าง ทำให้เกิดวัฒนาการต่าง ๆ นานา หลังจากที่เราต้องถูกจำกัดพื้นที่ให้อยู่เฉพาะที่บ้าน
ที่พักอาศัยกันมาได้ระยะหนึ่งก็เริ่มอึดอัด เริ่มเบื่อหน่าย เริ่มกระวนกระวาย
หลายคนปรับตัวไม่ได้ ก็อยากจะโบยบินเหมือนดังนกเสรี
ส่วนใครที่ปรับตัวได้ก็ใช้เวลาที่อยู่กับบ้านหาความรู้ หากิจกรรมทำ
เพื่อให้เกิดประโยชน์และไม่เสียเวลาไปเปล่า ๆ
เราโชคดีที่เราอยู่ในยุคที่เรามีอินเตอร์เน็ตและเครื่องมือสื่อสารสมัยใหม่ที่สามารถหาความรู้
เรียนรู้ ตามใจชอบได้อย่างเสรี
หาวิธีต่อยอดสร้างสรรสิ่งต่าง ๆ
วันเวลาที่ผ่านไปจึงรู้สึกถึงความมีชีวิตชีวาสามารถสู้กับโควิด-19 ได้อย่างสบาย แม้จะจำยอมในสภาพที่ถูกกักกัน
แต่ไม่จับเจ่าจำเจจนซวนเซ
มีอีกจำนวนหนึ่งที่ไม่สามารถจะปรับเข้ากับวิถีชีวิตใหม่ได้ เมื่อไม่ได้ไปทำงานประจำก็ไม่รู้จะทำอะไร
มิได้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่างเต็มที่ มีเพียงแต่นอนถู ๆ ไถ ๆ
ไปทั้งวัน หรือแค่ดูหนังฟังเพลงตามติดซีรีส์ ไม่นานก็เริ่มเบื่อเริ่มเครียด อาจจะปลอดจากโรคโควิดแต่จะกลายเป็นโรคติดเตียงแทน
แบบนี้ชีวิตจึงจำเจ และติดกับดักเดิม ๆ มิอาจจะก้าวหน้าในสภาวะใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นได้
เฮมิงเวย์
นักเขียนชื่อดังเคยกล่าวไว้ว่า “มนุษย์มิได้ถูกสร้างมาเพื่อความพ่ายแพ้” ถึงที่สุดแล้วต้องดิ้นรนหาทางเอาชนะอุปสรรคจนได้
อีกด้านหนึ่งเราเกิดมาก็ไม่จำเป็นต้องชนะในทุกเรื่อง บางครั้งต้องรู้จัก “ยอม”
เสียบ้าง เรายอมที่จะทนอยู่ในบ้าน เพื่อที่จะมีชีวิตไร้โรค การยอมแบบนี้มิได้หมายความว่าเป็นการยอมแพ้ เพียงแค่รู้จักลดราวาศอก ยืดหยุ่น
รู้จักผ่อนปรน เพื่อให้ส่วนรวมได้ประโยชน์ มิใช่เพื่อที่จะให้ตนเองได้แต่ฝ่ายเดียว
โควิดเกิดขึ้นจึงทำให้เรารู้จักยืดหยุ่นชีวิต จิตใจก็ผ่อนคลาย ไม่ตึงเครียดจนเกินไป
ชีวิตต้องรู้จักยอมที่จะเสียบ้าง เสียบางอย่างเพื่อให้ได้บางอย่างที่เป็นประโยชน์
ต่อทั้งส่วนรวมและตนเอง
โรคโควิด-19 คงมิได้หมดไปจากโลกนี้ง่าย
ๆ เราต้องปรับวิถีชีวิตเพื่อให้ชนะมันให้ได้ การจำยอมรับความจริง บางทีก็จะนำเราไปสู่ชัยชนะ
การยอมรับต้องสร้างวินัย ต้องอดทน ต้องเตรียมพร้อม และต้องยอมที่จะสละบางอย่าง
ให้ความสำคัญกับสิ่งที่จำเป็นจริง ๆ เหมือนดังเช่นคำปราศัยของประธานาธิบดียูกันดาถึงประชาชนคนในประเทศของเขาว่า
“โลกกำลังอยู่ในภาวะสงคราม สงครามที่ไม่ใช้ปืนและกระสุน สงครามที่ไม่มีทหาร สงครามที่ไร้พรมแดน สงครามที่ไม่มีข้อตกลงหยุดยิง สงครามที่ไม่มีห้องยุทธการ
สงครามที่ไม่มีโซนศักดิ์สิทธิ์ กองทัพในสงครามนี้ไม่มีความปราณี มันเป็นสิ่งที่ปราศจากความเมตตา มันไม่เลือกว่าจะเป็นเด็กหรือผู้หญิงหรือศาสนสถาน
กองทัพนี้ไม่สนใจผลพวงความเสียหายจากสงคราม
มันไม่มีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง
ไม่สนใจเกี่ยวกับแหล่งแร่ที่อุดมสมบูรณ์ใต้ผืนดิน ไม่ได้สนใจที่จะอยากเป็นเจ้าโลก
หรือเรื่องราวทางศาสนาเชื้อชาติหรืออุดมการณ์ ความทะเยอทะยานของมันไม่เกี่ยวอะไรกับเชื้อชาติ
มันเป็นกองทัพล่องหนที่โหดเหี้ยมและทรงประสิทธิภาพ สิ่งเดียวที่มันต้องการคือการเก็บเกี่ยวเพียงความตาย...
โชคดีที่กองทัพนี้มีจุดอ่อนและเราสามารถเอาชนะได้
มันต้องการเพียงแค่ความร่วมแรงร่วมใจและความมีวินัยและความอดทนของเรา โควิด-19
ไม่สามารถอยู่รอดได้ในการรักษาระยะห่างทางสังคมและกายภาพ มันจะเติบโตเมื่อคุณอยู่ใกล้ชิดกันเท่านั้น
มันชอบการเผชิญหน้า มันจะยอมจำนนต่อสังคมที่มีวินัยและการรักษาระยะห่างทางร่างกาย
มันยอมจำนนต่อคนที่มีสุขอนามัยส่วนบุคคลที่ดี มันทำอะไรคุณไม่ได้
เมื่อคุณกำหนดชะตากรรมของคุณด้วยมือของคุณเองโดยรักษาสุขอนามัยให้บ่อยที่สุดเท่าที่ทำได้
นี่ไม่ใช่เวลาที่จะร้องไห้เพื่อร้องขออาหาร เหมือนเด็กที่เอาแต่ใจตัวเอง
ท้ายที่สุดพระคัมภีร์บอกเราว่า มนุษย์เราไม่ใช่อยู่เพื่อกินเพียงอย่างเดียว เราควรเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญ เรามาทำให้สถิติการติดเชื้อ โควิด-19 ลดลง
เราต้องมีความอดทน หันมาเป็นผู้ดูแลพี่น้องของเราด้วยกัน ในเวลาไม่นานเราจะได้รับอิสรภาพ ทุกภาคส่วนและสังคมจะกลับคืนมา ขอพระเจ้าอวยพรเราทุกคน (บางส่วนของคำปราศรัยของประธานาธิบดียูกันดา)
เรากักขังตัวเองเพื่อสร้างภูมิ
ความอดทนและการมีวินัยจะช่วยเราให้ออกมาร่วมกันสร้างสังคมใหม่ เป็นสังคมที่เห็นคุณค่าของทุกคน
เห็นคุณค่าของวันเวลา เราจะไม่ทำให้แต่ละวันจำเจจนชินชา เฉื่อยชา แต่เราจะยอมรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นด้วยหัวใจของนักสู้ผู้เปี่ยมด้วยรักและเมตตา
เพราะเรารู้ว่าสุดท้ายแล้ว ชีวิตคนเรานี้ก็ต้องการเพียงแค่สันติสุขเท่านั้นเอง....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น