รักต้านโรค
ไวรัสน้อยในนามโควิด-19
ยังซ่าไม่หายวิ่งซุกซนท่องเที่ยวไปครึ่งค่อนโลก
สร้างความตระหนกจนโลกนี้ดูจะเงียบเหงาลงไปโดยปริยาย
การระบาดที่ดูจะหนักหน่วงขึ้นเรื่อย ๆ ในทุกวัน
หลายประเทศต้องปิดบ้านปิดเมืองไม่ต้อนรับเจ้าไวรัสจิ๋วนี้
ในประเทศไทยของเราทุกหน่วยงานต่างพยายามเต็มที่ ช่วยกันประคับประคองไม่ให้เกิดการสูญเสียชีวิตของผู้คน
มีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อที่จะจัดการบางสิ่งบางอย่างได้ง่ายขึ้น
การระบาดครั้งนี้ทางการแพทย์เรียกว่า “โรคอุบัติใหม่”
ซึ่งจะต้องใช้เวลาในการต้านในการรักษา ทำได้คือต้องลดระยะห่างการติดต่อในสังคมลง
จึงจำต้องให้ทุกคนอยู่แต่ในบ้าน
โดยเฉพาะช่วงเวลาที่คาดกันว่าเป็นช่วงพีคที่สุดของการแพร่เชื้อจากผู้คนที่เคยไปร่วมกันในสนามมวยและในผับ
ถ้าทุกคนเข้าใจร่วมกันทำตามไม่ดื้อรั้น ไม่เห็นแก่ตัว ไม่อวดเก่ง ไม่เอาแต่ใจ
ทำตามที่ภาครัฐขอร้อง อยู่กับบ้านเฝ้ากับคอนโดฯสักช่วงเวลาหนึ่ง
เราก็จะลดการแพร่กระจายเชื้อลงได้บ้าง
แน่นอน...ย่อมมีผลกระทบกับหลายคนทั้งในเรื่องการทำมาหากิน การค้าการขาย
ที่เราเคยชินที่เราใช้เพื่อการดำรงชีพและยึดมันว่าเป็นฐานหลักของการมีชีวิตอยู่
แต่เมื่อพิจารณากันอีกทีสังคมมนุษย์เคยอยู่มาได้โดยมิต้องใช้หลักเศรษฐกิจการค้าการขายนำ
เราอยู่กันได้ด้วยการเอื้ออาทรแบ่งปันกัน ใครมีมากก็แบ่งให้คนมีน้อยด้อยกว่า
สังคมแบบนี้ต่างหากที่จะมีสันติสุข
และนี่จึงเป็นช่วงเวลาของมนุษยชาติที่จะเรียนรู้การจะอยู่ร่วมกันต่อไปอย่างไรในวันข้างหน้า?
ท่ามกลางเทคโนโลยีล้นเมือง แค่เรื่องไวรัสจิ๋วเรายังจัดการกันไม่ได้ หรือว่าไวรัสร้ายตัวนี้จะมาสอนคนทั้งโลกให้ลด
ละ ความเป็นตัวตนลง หันมาให้ความสนใจใส่ใจต่อผู้คนรอบข้างบ้าง
โดยเนื้อแท้แล้วเราทุกคนมีความเมตตาเอื้ออาทรต่อกันเสมอ
ในขณะที่เมืองไทยเราเริ่มปิดเมือง ให้คนอยู่ในบ้าน ร้านอาหารหลายร้านมีเมตตาทำอาหารวางไว้
เขียนป้ายให้ผู้คนที่ลำบากได้หยิบเอาไปกิน เห็นหลายคนซื้อหน้ากาก ซื้อเจล
ซื้อแอลกอฮอลล์ วางไว้หน้าบ้านให้ผู้คนที่ผ่านไปมาต้องการใช้ก็สามารถใช้ได้เลย
เราเริ่มมีน้ำจิตน้ำใจต่อกัน และจะค่อย ๆ มีมากขึ้น คนไทยเราเรื่องน้ำใจก็เป็นหนึ่งในโลก
ยามเมื่อเกิดวิกฤต เราก็มักเห็นการช่วยเหลือกันอย่างนี้เสมอมา
และเราจะรอดปลอดภัยไปด้วยกัน เราจะเป็นสังคมที่ทุกคนมือสะอาด ใจงาม
เราจะกลับเป็นสังคมแห่งการแบ่งปันเอื้ออาทรกันมากขึ้น ยิ่งทุกข์ยากลำบาก
เรายิ่งเห็นคุณค่าของกันและกัน
จากที่หลายคนไม่ชอบอยู่บ้าน
ชอบออกไปวิ่งวุ่นอยู่ข้างนอก จนหลายครั้งหลงลืมที่จะดูแลคนในบ้าน
สถานการณ์เช่นนี้จึงทำให้เราต้องอยู่บ้าน อยู่ร่วมกันเป็นครอบครัวมากขึ้น
มีเวลากินข้าวร่วมกันมากขึ้น มีเวลาพูดคุย ช่วยกันทำความสะอาดบ้าน
ลูกหลานมีเวลาสอนคนเฒ่าคนแก่ใช้เครื่องมือสื่อสารสมัยใหม่เพื่อร่วมพิธีมิสซาออนไลน์
ผู้ใหญ่ในบ้านเริ่มเห็นคุณค่าของวัยรุ่น เริ่มลดอคติต่อกัน ความรักค่อย
ๆ กลับคืนสู่เย้า เริ่มมีการบอกเล่าประวัติความเป็นมาของครอบครัว
ลูกหลานได้เรียนรู้ถึงความยากลำบากในวันวานของคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ ต่างเปิดโลก
เปิดจิตเปิดใจให้กันและกันมากขึ้น ห่วงใยกันมากขึ้น มีเวลาที่จะสวดภาวนาพร้อม ๆ
กัน บ้านคือวิมานของเรา บ้านคือวิหารและคือพระศาสนจักร จากความกลัวกลายเป็นความกล้าที่จะยืนยันในความวางใจถึงความเชื่อของตนมากขึ้น
หลายคนไม่เคยเห็นคุณค่าของการสวดภาวนา ไม่สนใจเรื่องจิตวิญญาณ
เมื่อต้องปิดบ้านจิตใจจึงเริ่มเปิดออกที่จะแสวงหาความจริง
การสวดภาวนาหาใช่เพื่อไล่ไวรัสร้าย หากแต่เป็นการเพิ่มเติมพลังให้จิตใจเข้มแข็ง
ใช่หรือไม่ หากจิตใจมั่นคงร่างกายย่อมแข็งแรง
และพลังของการสวดภาวนาคือพลังใจที่จะกอบกู้โลกใบนี้เสมอมา
ทุกศาสนาจึงเริ่มที่จะใช้วิถีทางนี้ร่วมกัน เพื่อให้โลกก้าวผ่านวันคืนที่มืดมนนี้ไปได้อย่างปลอดภัย
โรคร้ายที่อุบัติขึ้นแม้จะยากที่จะต้านทาน
แต่เมื่อทุกคนนำความรักที่มีในหัวใจออกมาสู้ ย่อมต้านโรคนี้ได้ ความรักต่อคนรอบข้าง
ความรักที่ผ่านทางเมตตาอาทร ความรักที่ผ่านทางความห่วงใย
ความรักที่ต้องอดทนเสียสละด้วยกันจะช่วยค้ำจุนโลกใบนี้ให้คงอยู่
เราผู้ที่เป็นศิษย์พระคริสต์ ที่กำลังอยู่ในช่วงเวลามหาพรต เวลาที่เราต้องลด ละ
สละน้ำใจของตนเองเพื่อผู้อื่น เราต้องใช้เวลาที่เหลือตรงนี้ให้มีคุณค่ามากยิ่งขึ้น
แม้จะเป็นมหาพรตที่ยากลำบาก แม้ว่าจะเป็นมหาพรตที่วิตกตระหนก
เรายิ่งต้องน้อมรับไว้
และก้าวไปในหนทางนี้พร้อมกับพระเยซูเจ้าผู้ทรงเสียสละชีวิตเพื่อเราทุกคนมาแล้วเพราะด้วยความรักของพระองค์มิใช่หรือเราจึงมีวันนี้
และในวันนี้เราต้องให้ความรักนี้เช่นกันเพื่อจะก้าวข้ามผ่านโรคร้ายนี้ไปด้วยกันเพื่อวันข้างหน้า
แม้จะยาวนานสักเพียงใดกางเขนชัยคือเป้าหมายของเราทุกคน....
เราจะให้จิตของเราเข้าไปในท่าน
และท่านจะมีชีวิต : อสค 37:12-14
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น