ฝ่าวงล้อม
เรามักจะคุ้นชินในสถานการณ์ที่ตำรวจตามจับผู้ร้าย
แล้วล้อมเป็นวงให้ผู้ร้ายเข้าสู่ทางตัน จะมีคำ ๆ หนึ่งที่มักจะบอกผู้ร้ายว่า
“ขอให้มอบตัว ขณะนี้เจ้าหน้าที่ล้อมไว้หมดแล้ว” ละคร ภาพยนตร์มักมีฉากนี้บ่อย ๆ
ในวันนี้การแพร่ขยายของไวรัสโคโรน่า โควิด-19 ก็เป็นเหมือนเจ้าหน้าที่ ที่กำลังตะโกนบอกมนุษย์โลกว่า
“เราได้ล้อมไว้หมดแล้ว” แต่ทางตรงกันข้าม ไวรัสตัวนี้เล่นบทเป็นผู้ร้ายที่กลายมาเป็นผู้ควบคุมโลก
ทุกที่ทุกทวีปถูกโจมตี โลกตกอยู่ในภาวะชะงักงัน จากที่เราเคยแข่งขันกันก้าวหน้าพัฒนาแบบตัวใครตัวมัน
ชิงไหวชิงชัย ขัดขวางปัดแข้งปัดแขน แสนหมื่นล้านคนแหวกว่ายไปมิพักมิหยุด
มิรู้จักแบ่งปันร่วมมือ เราเคยสู้กันไปกันมา เราต้องการชัยชนะแต่เพียงผู้เดียว
ต่างคนต่างอยากเป็นที่หนึ่ง จึงวิ่งไปข้างหน้า เพื่อคว้าชัย ในขณะที่ทุกคนกำลังเพลิดเพลินระเริงอยู่ในโลกาภิวัฒน์
โรคแห่งวิบัติค่อย ๆ ก่อร่างสร้างตัว และแพร่ขยาย แล้วล้อมโลกไว้อย่างรวดเร็ว จนวิ่งแซงการพัฒนาที่ทุกคนคิดว่าของตัวเองคือสุดยอด
วันนี้สถานการณ์การระบาดของเชื้อโรค
COVID-19 ทำให้โลกทั้งใบต้องหยุด
กลายเป็นสถานการณ์คล้ายกับสงครามยังไงยังงั้นโดยที่มีชีวิตผู้คนเป็นเดิมพัน ที่ตกอยู่ในวงล้อม การบิน การสัญจรจากที่เคยพลุกพล่าน
กลับร้างว่างเปล่าไร้การเดินทางท่องเที่ยว ผู้คนตกงานนับหมื่นแสน
เศรฐกิจเป็นอัมพาต การจับจ่ายหยุดนิ่ง การบริโภคกลายมาเป็นกักตุนค่อย ๆ กิน ค่อย ๆ
ใช้ ต่างได้รับผลกระทบกันทั่วหน้า ไวรัสเล็ก ๆ ตัวนี้ทำให้ผู้คนหวาดระแวง
และเริ่มมีการหาคนผิด โทษกันไปกันมา กล่าวหากันว่าเป็นคนสร้างขึ้นบ้าง เป็นผู้เปิดช่องโหว่
เป็นตัวพาหะ เราต่างสร้างความกลัวขึ้นมาให้กัน และยิ่งกว่าโรคระบาดคือ โรคเครียด
โรควิตกจริต ที่มากับความกลัวนี่เอง ถ้าเราอ่านสัญญาณเตือนโลกในครั้งนี้ ใช่หรือไม่
โรคระบาดเริ่มจากประเทศที่มุ่งพัฒนาอย่างรวดเร็ว โตขึ้นอย่างก้าวกระโดด
ประเทศที่เป็นเลิศจากเทคโนโลยี ประเทศที่เป็นกลุ่มผู้นำทางเศรษฐกิจของโลก หรือนี่เพื่อที่จะให้โลกหยุดชะลอลงมา
ก้าวช้าลงบ้าง(ความคิดของผู้เขียน) โลกต้องการพลังที่ใสสว่าง
สังคมครอบครัวที่เกือบจะมลายลงหมด จำต้องหันมาดูแลกันและกัน
ในขณะที่เราถูกล้อมด้วยโรคระบาด
และถูกบังคับด้วยสถานการณ์เฉพาะหน้าที่ไม่เคยเห็นมาก่อน การที่จะฝ่าวงล้อมนี้ไปได้
เราต้องช่วยกันในหลาย ๆ ด้าน ให้ความร่วมมือ จับมือกันให้มั่น
แต่เราก็ยังเห็นคนบางกลุ่มไม่เข้าใจถึงสถานการณ์และหน้าที่ที่ควรทำ
เอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาด่าทอโทษกันไปกันมา
แสดงความเห็นในวงแคบ ๆ ของตัวเอง เอาความคิดของตัวเองเป็นที่ตั้ง
เรียกร้องให้คนอื่นต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ ทีตัวเองกลับไม่ได้สนใจที่จะทำตามคำแนะนำของผู้รู้
เราเห็นคนที่แสดงภูมิรู้ดีมากกว่ารู้จริงสิงสถิตในโลกออนไลน์อย่างมากหน้าหลายตา
บางคนเห็นจังหวะความวุ่นวายก็ฉกฉวยหาประโยชน์กับการค้ากำไรเกินควรในสิ่งที่ทุกคนจำเป็นต้องใช้ในยามวิกฤต
คนบางคนใช้ผลประโยชน์ทางการเมืองมาปลุกปั่นให้คนในสังคมแตกแยก ทั้ง ๆ ที่เราก็ต้องอยู่ในวงล้อมเดียวกัน
การระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ที่อาจจะล้างคนได้ทั้งประเทศถ้าเราไม่สามัคคีกัน
เราอาจจะมองว่านี่คือการลงโทษของสวรรค์เบื้องบน
แต่เราจะต้องเข้าใจก่อนว่าบางทีสวรรค์และธรรมชาติต้องการให้บทสอนให้เราก้าวช้าลง
ให้เราผ่อนเร็ว คลายไว ให้มีเวลาเหลียวแลกันและกัน บีบวงล้อมให้เราจำต้องอยู่ในสถานที่เล็ก
ๆ ด้วยกัน ยิ่งตีกันยิ่งต้องให้บทเรียนมากขึ้นและมากยิ่งขึ้น
ยิ่งอวดดีอวดเก่งยิ่งให้สถานการณ์นี้ยืดยาวออกไป จนกว่าเราจะตกผลึกว่า “หากเราต้องเหนือกว่าคนอื่นในวงล้อม
แล้วเราจะรอดได้อย่างไร?” โลกต้องการความอ่อนน้อม โลกต้องการความสุภาพ
ไร้พิธีรีตรองมากมายนัก เอาเข้าจริง พระเจ้าคือความเรียบง่าย พระเจ้าคือธรรมชาติที่ต้องการอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลอย่างแท้จริง
โลกต้องการความร่วมมือมากกว่ามือที่ยกขึ้นเหนือกันและกัน
จับมือร่วมใจฝ่าวงล้อมนี้ไปด้วยกันทุกคนคือทางออกของวันนี้
เป็นหน้าที่ของเราทุกคนที่ต้องร่วมมือร่วมใจกันในครั้งนี้
ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องสามัคคีกันคำนึงถึงสุขภาพของลูกหลานเราในวันข้างหน้าไว้เป็นที่ตั้ง
พร้อมหรือยังที่เราจะสามัคคีต่อสู้กับวิกฤตโควิด
พร้อมหรือยังที่จะปลดแอกจากโรคร้าย ที่เราต้องเสี่ยงชีวิตในทุกวัน ถ้าทุกคนพร้อม
จำต้องวางอคติลง แล้วถึงเวลาที่เราจะต้องร่วมมือกัน ฝ่าวงล้อมโรคร้ายนี้ออกไป เราทำได้ถ้าเราทุกคนช่วยกัน เริ่มจากช่วยเหลือเกื้อกูลต่อกัน รักกัน
ดูแลกันในสังคมเล็ก ๆ ที่บ้าน มีวินัยในการรักษาความสะอาด
ทำตามคำแนะนำของหน่วยงานสาธารณะสุขอย่างเคร่งครัด
งดงัดปัดความรับผิดชอบต่อสังคมด้วยการใช้ชีวิตแบบสุรุ่ยสุร่าย และทำอะไรตามใจ
ทำความสะอาดบ้านเรือนของเราเสมอ ล้างจิตใจให้ใสสะอาดสวดภาวนาร่วมกัน เราจะก้าวฝ่าออกไปด้วยกัน
เอาพื้นที่ที่ปกติของเรากลับคืนมาใหม่ ที่สุดแล้ว เรามายกความยากลำบากแห่งวันเวลานี้
ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในความทุกข์ทรมานของพระเยซูคริสตเจ้า
ให้ก้าวผ่านสี่สิบวันนี้ไปให้ได้ และไม่แน่ว่าเราอาจจะพบกับแสงสว่าง
ออกจากวงล้อมของไวรัสนี้ได้หลังจากวันปัสกาผ่านพ้นไปแล้ว ซึ่งจะเป็นแสงสว่างอันแท้จริงที่นำมาซึ่งความดี
ความสามัคคี การร่วมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของปวงประชากรคืนสู่สังคมนี้ให้จงได้
“จงดำเนินชีวิตเช่นบุตรแห่งความสว่างเถิด
ผลแห่งความสว่างคือความดี ความชอบธรรมและความจริงทุกประการ
จงแสวงหาสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัย” (อฟ 5:8-14)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น