วันเสาร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2563

แค่คิด


แค่คิด
เมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา ก่อนนอนได้มีโอกาสชมข่าวสารด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่ เป็นข่าวที่ Elon Musk หนึ่งในซีอีโอระดับโลกที่โด่งดังที่สุดในเวลานี้ เป็นหนึ่งในคนที่กำลังจะทำให้โลกนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เขาคือผู้พลิกโฉมวงการรถยนต์และอวกาศด้วยการก่อตั้งบริษัท Tesla พัฒนานวัตกรรมรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบไร้คนขับ ระบบกักเก็บพลังงาน และแผงโซล่าเซลล์ อีกทั้งบริษัท SpaceX ผู้บุกเบิกด้านการสำรวจอวกาศ พัฒนาการให้บริการอินเตอร์เน็ตผ่านเครือข่ายดาวเทียมและจรวดส่งมนุษย์ไปดาวอังคาร และบริษัท Neuralink ซึ่งบริษัทนี้ ลงทุนไปแล้วกว่า 4,600 ล้านบาท เพื่อค้นคิดพัฒนาเทคโนโลยีเชื่อมสมองของคนเรากับคอมพิวเตอร์ได้มีการสาธิตเทคโนโลยีนี้ โดยตัวกลางที่ใช้เชื่อมต่อระหว่างสมองและ คอมพิวเตอร์เรียกว่าThreads” หรือ สายใยสื่อประสาท ทำมาจากโพลิเมอร์ มีคุณสมบัติหลัก ๆ  คือ มีความยืดหยุ่นสูง มีขนาดเล็กกว่าเส้นผม 10 เท่า ประกอบด้วยขั้วไฟฟ้ามากถึง 3,072 ขั้ว ซึ่งต่อสายใยประสาท 96 สาย เหตุผลที่ต้องมีคุณสมบัติเหล่านี้ นั่นก็เพราะว่า ความยืดหยุ่นและความบาง จะช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้กับสมอง และขั้วไฟฟ้าจำนวนมากจะทำให้ประสิทธิภาพการรับส่งข้อมูลดีขึ้น
ภาพ : อินเทอร์เน็ต
ในอนาคตอันใกล้นี้เราอาจไม่ต้องพิมพ์ตัวอักษรบนคีย์บอร์ด เราอาจไม่ต้องคุยโทรศัพท์เพื่อสื่อสารเพราะ สิ่งที่เราทำก็แค่คิด เช่น คิดว่าจะกินอะไร ก็มีคนมาส่ง คิดว่าจะหาของที่หายไป ก็แค่ย้อนความทรงจำกลับไปดู ทั้งหมดนี้ดูเหมือนว่า มนุษย์ในอนาคตกำลังจะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตอีกประเภทหนึ่ง ที่แม้แต่ตัวมนุษย์เองก็จินตนาการไม่ถึง..(บางส่วนจาก Blog ลงทุนแมน)
นั่งทบทวนก็ชวนให้เรามีคำถามต่าง ๆ เกิดขึ้น แค่คิดจะกินอะไรก็มีคนมาส่ง และของที่กินจะให้พลังงานเท่าไร มีน้ำตาลมีแร่ธาตุวิตามินมากน้อยต่อความต้องการของคนเราแต่ละคนเท่าไร ทุกสิ่งแค่คิดก็ถูกเครื่องคำนวณให้เสร็จสรรพ แต่แล้วเราก็ต้องมีเงินเพียงพอต่อการใช้บริการเหล่านี้ด้วย มนุษย์สามารถจะย้อนความทรงจำได้ แต่มิอาจจะย้อนที่จะไม่กระทำสิ่งที่ผิดได้ ไม่สามารถที่จะ Undoในสิ่งที่เราผิดพลาดไปแล้วได้ มีเพียงแต่การสำนึกผิดและเสียใจ และความทรงจำที่เสียใจนี้จะถูกลบล้างได้หรือเปล่า?
ภาพ : อินเทอร์เน็ต
สิ่งใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้มีทั้งด้านดีและด้านที่ชวนให้ขนลุกขนพอง เทคโนโลยีเชื่อมต่อสมองมนุษย์เข้ากับคอมพิวเตอร์จะกลายเป็นก้าวกระโดดครั้งสำคัญของมนุษย์ สามารถช่วยเหลือผู้ป่วยอาการทางสมอง ผู้พิการทางร่างกายสามารถสั่งงานแขนหรือขาหุ่นยนต์ให้สามารถหยิบจับเคลื่อนย้ายสิ่งของได้ตามสมองสั่งการ การติดต่อสื่อสาร การสั่งงานผ่านอุปกรณ์สมาร์ทโฟนโดยไม่ต้องใช้นิ้วสัมผัสหน้าจอ เพียงแค่คิดเครื่องก็ติดต่อไปยังบุคคลที่เราต้องการจะสื่อสารด้วย รวมไปถึงเพิ่มขีดความสามารถด้านการเข้าถึงข้อมูลความรู้ การตัดสินใจของมนุษย์ให้มีประสิทธิภาพเท่าเทียมหรือดีกว่าเทคโนโลยีระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) และสามารถที่จะซ่อมแซมสมองส่วนที่เสื่อมสภาพตามวัยตามอายุให้มีประสิทธิภาพเหมือนเดิมได้อีกด้วย
สิ่งที่ชวนให้ขนลุกขนพองแค่ลองคิดเล่น ๆ ว่าถ้าบริษัทโฆษณาซื้อสิทธิ์ในการส่งสัญญาณบางอย่างไปให้ผู้ใช้งานรู้สึกถึงอารมณ์ร่วมที่แตกต่างกันเมื่อเห็นโฆษณา มูลค่าของมันจะมหาศาลขนาดไหน จะมีการแย่งชิงขายของกันขนาดไหน คิดต่อไปว่าถ้าโทรศัพท์ของเราหาย ก็เตรียมตัวกดชัตดาวน์สมองตัวเองได้เลย เพราะสิ่งนี้จะถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน นี่อาจจะเป็นเพียงจินตนาการ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นไปไม่ได้ และใครจะเข้าถึงเทคโนโลยีเหล่านี้บ้าง? เมื่อวันหนึ่งเทคโนโลยีแบบนี้ถูกวางจำหน่าย สังคมจะถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่งทันที ฝั่งที่เข้าถึง และฝั่งที่ไม่สามรถเข้าถึง ฝั่งที่เข้าถึงจะสามารถพัฒนาความสามารถของตนเองไปได้ไกลกว่าเดิม จะสามารถเข้าถึงโอกาสและหยิบฉวยโอกาสได้ง่ายขึ้นกว่า สิ่งที่เกิดตามมาคือช่องว่างของผู้คนที่ถูกถ่างออกจนแทบเทียบกันไม่ติด อาชีพการงาน โอกาสในสังคม รายได้ และระดับคุณภาพชีวิต สิ่งเหล่านี้ผู้ด้อยโอกาสจะยิ่งถูกกดให้ต่ำลง จนอาจจะไม่สามารถลืมตาอ้าปากในสังคมได้
ภาพ : อินเทอร์เน็ต
นี่คือความเป็นไปได้และยิ่งตอกย้ำประเด็นทางสังคมอันเปราะบางที่โหดร้ายยิ่งนัก แค่คิดและนั่งทบทวนตลอดเส้นทางสายนี้ที่เห็นและเรียนรู้เทคโนโลยีตลอดมา เห็นการเปลี่ยนแปลง และเป็นคนในยุคเปลี่ยนผ่านจากอนาล็อกสู่ยุคดิจิตอล และกำลังก้าวสู่ยุค AI ปัญญาประดิษฐ์ สิ่งใหม่ ๆ ก็ยังไม่อาจจะทำให้จิตใจมนุษย์เราพัฒนาสูงส่งขึ้นเลย แถมกำลังสวนทางเสียด้วยซ้ำไป เมื่อคนได้ครอบครองเทคโนโลยีทำให้เห็นแก่ตัว เห็นแต่ความคิดของตัวเองมากขึ้น หากเชื่อมโยงสมองกับคอมพิวเตอร์ได้ ข้อมูลแห่งความเห็นแก่ตัวนี้คงเป็น BigData ที่อาจจะนำไปสู่ความทะเยอทะยานในรูปแบบใหม่ เทคโนโลยีกำลังปูทางใหม่ให้ผู้คน อาจจะกลายเป็นสิ่งที่ลบล้างความเป็นมนุษย์ของเราบางคนลงไปด้วย ทุกสิ่งที่กำเนิดมาในโลกล้วนเป็นสิ่งที่ดี และพระเจ้าย่อมให้เสรีภาพสำหรับเรามนุษย์ในการค้นคิด ค้นคว้า เพื่อพัฒนาโลก แต่เรามักติดหล่มกับความเห็นแก่ตัว นี่แหละที่ไม่สามารถจะใช้อุปกรณ์ใด ๆ มาแก้ไขได้ โลกแห่งสันติสุขก็จะห่างไกล เพราะสมองคนจะกลายเป็นสมองกลที่ปราศจากจิตสำนึกและมโนธรรม แค่คิด..ก็สงสารพระเจ้าจับใจ

ไม่มีความคิดเห็น: