ดับไฟในใจเรา
ตื่นขึ้นมาในวันแรก ๆ ของปีใหม่
ปีที่ทุกคนหวังว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการพัฒนาอย่างมโหฬาร
จะมีเครื่องไม้เครื่องมือมาอำนวยความสะดวก มาต่อเติมเสริมแต่งให้ชีวิตมนุษยชาติมีความผาสุกมากยิ่งขึ้น
แต่ที่ไหนได้...เรากำลังติดกับดักและต้องเผชิญอยู่กับสิ่งที่มาทำร้ายเราอย่างคาดไม่ถึง
เรามีความหวังจะเห็นแสงสว่างของการเปลี่ยนผ่าน แต่กลับมาพบเปลวไฟที่ร้ายแรง
ไฟสงคราม ไฟทำลายป่าไหม้ และไฟแห่งโรคระบาด เคยมีผู้กล่าวไว้ว่า มีเพียงสี่อย่างที่จะทำลายมนุษย์ให้ย่อยยับลงได้
นั่นคือ สงคราม ภัยธรรรมชาติ โรคระบาดและอุบัติเหตุ
ทั้งสี่อย่างนี้เกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกันมาในช่วงต้นปีนี้ เป็นเหมือนสัญญาณอะไรหรือเปล่า?
คงไม่ใช่ทั้งหมด นี่เป็นเพียงสิ่งตักเตือนให้เราไตร่ตรองทบทวนว่า มีสิ่งใดเล่าที่จะยังคงค้ำจุนโลกนี้ได้ในทุกกรณี
ภาพ : อินเทอร์เน็ต |
ในแต่ละปีมนุษย์เราล้มหายตายจากอุบัติเหตุหลายล้านคน
ดูแค่เพียงประเทศไทยเราในทุกช่วงเทศกาลที่มีวันหยุดยาว ๆ เราก็มักจะสูญเสียมวลชนคนไทยไปราว
ๆ 300-500 ต่อครั้ง ถึงขั้นตั้งชื่อเพื่อรณรงค์ เจ็ดวันอันตราย
เมาไม่ขับกลับบ้านอย่างปลอดภัย จนแล้วจนรอดก็ยังแก้ไขปัญหาไม่ได้
จึงมีการคิดแบบใช้จิตวิทยาเปลี่ยนชื่อให้เป็น เทศกาลแห่งความสุข อะไรแบบนี้
ในความเป็นจริงเราต้องแก้ที่ต้นตอคือ แก้และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมคนในชาติให้ได้
ความสุขกับสุราหาใช่สิ่งที่ต้องไปด้วยกัน ความเห็นแก่ตัวที่มีมากต่างหากที่นำมาซึ่งไฟแห่งการสูญเสีย
เราไม่เห็นคุณค่าของชีวิตผู้อื่น เราก็ยิ่งลดคุณค่าของตัวเราเองเท่านั้น
แม้ว่าโลกจะพยายามปฏิวัติเรื่องการขับขี่เพื่อลดการสูญเสียมาอย่างยาวนาน
ก็ยังหาจุดที่จะใช้เทคโนโลยีเพื่อการนี้ให้สำเร็จลงได้
เครื่องยนต์ไร้คนขับเริ่มขยับมีให้เห็น
รถยนต์มีอุปกรณ์ความปลอดภัยสูงถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ก็ยังมิอาจจะยับยั้งความมักง่ายของผู้คนชนของโลกนี้ลงได้...
ภาพ : อินเทอร์เน็ต |
สงครามคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุดของมนุษย์
แต่ก็ไม่เคยหยุดที่จะก่อไฟกองนี้ใส่กัน เริ่มจากสงครามระดับบ้าน ระดับที่ทำงานลามไปจนถึงระดับประเทศ
โดยมีคำอ้างอย่างสวยหรูว่า“ทำสงครามเพื่อสันติภาพ ฆ่าคนเพื่อหยุดสงคราม”
ผ่านปีใหม่ไปไม่กี่วันประเทศยักษ์ใหญ่ใช้โดรนถล่มผู้นำอันดับสองของอีกประเทศหนึ่ง
ที่กำลังจะไปเจรจาความในประเทศเพื่อนบ้าน สร้างความไม่พอใจ โกรธเคือง
และต้องการจะแก้แค้นเพื่อตอบโต้อย่างสาสม จวนเจียนจะเกิดสงครามโลกขึ้นมา
สร้างความตระหนกทั่วทุกมุมโลก ไฟสงครามเริ่มจากไฟโกรธ
เริ่มจากไฟแห่งความเกลียดชิงชัง จากหนึ่งกลายเป็นร้อยเป็นล้าน
แม้ว่าโลกนี้จะมีการพัฒนาเครื่องมือเพื่อหยุดสงคราม
แต่เครื่องมือเหล่านั้นมักถูกนำมารับใช้สงครามเสียมากกว่า
เครื่องมือสมัยใหม่ไล่ล่าทำลายกันอย่างไร้เงื่อนไข
หรือว่าความโหดร้ายของคนเรามาคู่กับการพัฒนา สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปในวันข้างหน้าคือความเลือดเย็นในการเข่นฆ่ากันกระนั้นหรือ!!!
ไฟสงครามจะทำให้ไฟในใจเราไร้การรับรู้ถึงความโหดร้ายกระนั้นหรือ...
ภาพ : อินเทอร์เน็ต |
ไฟป่าทั่วประเทศออสเตรเลียกำลังลุกโชน
จนทำให้สูญเสียจิงโจ้ และสัตว์อื่น ๆ อีกหลายชนิดจำนวนหลายล้านตัว
ผู้คนได้รับควันพิษก่อให้เกิดโรคร้ายอีกนับไม่ถ้วน เพลิงไฟที่ลุกลามไปทั่วจนทุกพื้นที่จนกลายเป็นสีแดง
ภัยธรรมชาติครั้งนี้ร้ายแรงจนยากที่จะหยุดลงได้
ต้องขอความร่วมมือจากต่างชาติเพื่อมาช่วยดับไฟ ท่ามกลางความร้อนที่สูงขึ้น
จากการเปลี่ยนไปของชั้นบรรยากาศโลก ก่อให้เกิดภัยพิบัติที่นับวันยิ่งหนักขึ้นเรื่อย
ๆ จากป่าไม้ที่สมบูรณ์กลายเป็นเชื้อเพลิงเผาไหม้อย่างดี เราเห็นภาพที่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงวิ่งหนีเปลวไฟไปมา
ยิ่งสงสารและต้องทำให้เราทบทวนกันมากขึ้นว่าเราทำร้ายธรรมชาติจนก่อเกิดภัยกันเองใช่หรือเปล่า
?
การพัฒนาบางทีก็นำมาซึ่งการทำลายธรรมชาติอย่างไม่ตั้งใจ เราพยายามสร้างเครื่องมือที่ล้ำสมัยเพื่อง่ายต่อการทำงาน
โดยที่เราไม่รู้เลยว่ามันก็ง่ายต่อการเกิดมลภาวะที่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม
เราหวังว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างก้าวล้ำ แต่เราไม่เคยมองย้อนกลับไปว่าผลเสียที่ตามมานั้นมันก็ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน
เราสร้างโลกใหม่เพื่อทำลายโลกเก่ากันอยู่หรือเปล่า?
ภาพ : อินเทอร์เน็ต |
ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่และร้ายแรงในจีนกำลังก่อตัวขึ้น
และนี่จะกลายเป็นโรคระบาดชนิดใหม่ คุณหมอท่านหนึ่งเคยกล่าวว่า โลกของเราทุกวันนี้มีเชื้อร้ายก่อเกิดขึ้นทุกวัน
จนการแพทย์การรักษาตามแทบไม่ทัน เชื้อตัวหนึ่งพัฒนากลายเป็นเชื้ออีกตัวหนึ่ง
ผลกระทบมาจากสภาพแวดล้อมที่เราสร้างขึ้น ฝุ่นละอองขนาดเล็กที่ยังคงแพร่กระจายในอากาศของเมืองหลวงและเมืองใกล้เคียง
ก็นำมาซึ่งเชื้อโรคร้าย ที่อาจจะกลายเป็นการระบาดได้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง
แม้ว่าเราพยายามจะใช้เทคโนโลยีในการรับมือกับโรคร้าย
โดยที่ตั้งเป้าหมายจะให้ชีวิตคนเป็นอมตะ ผู้คนจะอายุยืนยาวเกินร้อยปี สิ่งเหล่านี้จะเป็นจริงได้หรือถ้าหากจิตใจของผู้คนยังจมอยู่กับความมักง่ายและเห็นแก่ตัว
“ความรัก ความเมตตา กรุณา” ยังคงเป็นสิ่งที่โลกต้องการเพื่อนำมาใช้แก้ปัญหาทุกอย่างในทุกบรรทัดข้างบน
มิใช่เทคโนโลยีที่กอบกู้โลกแต่เมตตาธรรมต่างหากที่จะค้ำจุนโลก มาช่วยกันดับไฟในใจเราก่อน
ดับด้วยน้ำใจ เพื่อเราจะได้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการรักษาอาณาจักรที่พระเจ้ามอบหมายให้เราดูแลนี้
ให้เป็นสวนสันติสุขตลอดไป...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น