วันเสาร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2563

ดับไฟในใจเรา


ดับไฟในใจเรา
ตื่นขึ้นมาในวันแรก ๆ ของปีใหม่ ปีที่ทุกคนหวังว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการพัฒนาอย่างมโหฬาร จะมีเครื่องไม้เครื่องมือมาอำนวยความสะดวก มาต่อเติมเสริมแต่งให้ชีวิตมนุษยชาติมีความผาสุกมากยิ่งขึ้น แต่ที่ไหนได้...เรากำลังติดกับดักและต้องเผชิญอยู่กับสิ่งที่มาทำร้ายเราอย่างคาดไม่ถึง เรามีความหวังจะเห็นแสงสว่างของการเปลี่ยนผ่าน แต่กลับมาพบเปลวไฟที่ร้ายแรง ไฟสงคราม ไฟทำลายป่าไหม้ และไฟแห่งโรคระบาด เคยมีผู้กล่าวไว้ว่า มีเพียงสี่อย่างที่จะทำลายมนุษย์ให้ย่อยยับลงได้ นั่นคือ สงคราม ภัยธรรรมชาติ โรคระบาดและอุบัติเหตุ ทั้งสี่อย่างนี้เกิดขึ้นในเวลาใกล้เคียงกันมาในช่วงต้นปีนี้ เป็นเหมือนสัญญาณอะไรหรือเปล่า? คงไม่ใช่ทั้งหมด นี่เป็นเพียงสิ่งตักเตือนให้เราไตร่ตรองทบทวนว่า มีสิ่งใดเล่าที่จะยังคงค้ำจุนโลกนี้ได้ในทุกกรณี

ภาพ : อินเทอร์เน็ต
ในแต่ละปีมนุษย์เราล้มหายตายจากอุบัติเหตุหลายล้านคน ดูแค่เพียงประเทศไทยเราในทุกช่วงเทศกาลที่มีวันหยุดยาว ๆ เราก็มักจะสูญเสียมวลชนคนไทยไปราว ๆ 300-500 ต่อครั้ง ถึงขั้นตั้งชื่อเพื่อรณรงค์ เจ็ดวันอันตราย เมาไม่ขับกลับบ้านอย่างปลอดภัย จนแล้วจนรอดก็ยังแก้ไขปัญหาไม่ได้ จึงมีการคิดแบบใช้จิตวิทยาเปลี่ยนชื่อให้เป็น เทศกาลแห่งความสุข อะไรแบบนี้ ในความเป็นจริงเราต้องแก้ที่ต้นตอคือ แก้และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมคนในชาติให้ได้ ความสุขกับสุราหาใช่สิ่งที่ต้องไปด้วยกัน ความเห็นแก่ตัวที่มีมากต่างหากที่นำมาซึ่งไฟแห่งการสูญเสีย เราไม่เห็นคุณค่าของชีวิตผู้อื่น เราก็ยิ่งลดคุณค่าของตัวเราเองเท่านั้น
แม้ว่าโลกจะพยายามปฏิวัติเรื่องการขับขี่เพื่อลดการสูญเสียมาอย่างยาวนาน ก็ยังหาจุดที่จะใช้เทคโนโลยีเพื่อการนี้ให้สำเร็จลงได้ เครื่องยนต์ไร้คนขับเริ่มขยับมีให้เห็น รถยนต์มีอุปกรณ์ความปลอดภัยสูงถูกพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ก็ยังมิอาจจะยับยั้งความมักง่ายของผู้คนชนของโลกนี้ลงได้...

ภาพ : อินเทอร์เน็ต
สงครามคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุดของมนุษย์ แต่ก็ไม่เคยหยุดที่จะก่อไฟกองนี้ใส่กัน เริ่มจากสงครามระดับบ้าน ระดับที่ทำงานลามไปจนถึงระดับประเทศ โดยมีคำอ้างอย่างสวยหรูว่า“ทำสงครามเพื่อสันติภาพ ฆ่าคนเพื่อหยุดสงคราม” ผ่านปีใหม่ไปไม่กี่วันประเทศยักษ์ใหญ่ใช้โดรนถล่มผู้นำอันดับสองของอีกประเทศหนึ่ง ที่กำลังจะไปเจรจาความในประเทศเพื่อนบ้าน สร้างความไม่พอใจ โกรธเคือง และต้องการจะแก้แค้นเพื่อตอบโต้อย่างสาสม จวนเจียนจะเกิดสงครามโลกขึ้นมา สร้างความตระหนกทั่วทุกมุมโลก ไฟสงครามเริ่มจากไฟโกรธ เริ่มจากไฟแห่งความเกลียดชิงชัง จากหนึ่งกลายเป็นร้อยเป็นล้าน
แม้ว่าโลกนี้จะมีการพัฒนาเครื่องมือเพื่อหยุดสงคราม แต่เครื่องมือเหล่านั้นมักถูกนำมารับใช้สงครามเสียมากกว่า เครื่องมือสมัยใหม่ไล่ล่าทำลายกันอย่างไร้เงื่อนไข หรือว่าความโหดร้ายของคนเรามาคู่กับการพัฒนา สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปในวันข้างหน้าคือความเลือดเย็นในการเข่นฆ่ากันกระนั้นหรือ!!! ไฟสงครามจะทำให้ไฟในใจเราไร้การรับรู้ถึงความโหดร้ายกระนั้นหรือ...

ภาพ : อินเทอร์เน็ต
ไฟป่าทั่วประเทศออสเตรเลียกำลังลุกโชน จนทำให้สูญเสียจิงโจ้ และสัตว์อื่น ๆ อีกหลายชนิดจำนวนหลายล้านตัว ผู้คนได้รับควันพิษก่อให้เกิดโรคร้ายอีกนับไม่ถ้วน เพลิงไฟที่ลุกลามไปทั่วจนทุกพื้นที่จนกลายเป็นสีแดง ภัยธรรมชาติครั้งนี้ร้ายแรงจนยากที่จะหยุดลงได้ ต้องขอความร่วมมือจากต่างชาติเพื่อมาช่วยดับไฟ ท่ามกลางความร้อนที่สูงขึ้น จากการเปลี่ยนไปของชั้นบรรยากาศโลก ก่อให้เกิดภัยพิบัติที่นับวันยิ่งหนักขึ้นเรื่อย ๆ จากป่าไม้ที่สมบูรณ์กลายเป็นเชื้อเพลิงเผาไหม้อย่างดี เราเห็นภาพที่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงวิ่งหนีเปลวไฟไปมา ยิ่งสงสารและต้องทำให้เราทบทวนกันมากขึ้นว่าเราทำร้ายธรรมชาติจนก่อเกิดภัยกันเองใช่หรือเปล่า ?
การพัฒนาบางทีก็นำมาซึ่งการทำลายธรรมชาติอย่างไม่ตั้งใจ เราพยายามสร้างเครื่องมือที่ล้ำสมัยเพื่อง่ายต่อการทำงาน โดยที่เราไม่รู้เลยว่ามันก็ง่ายต่อการเกิดมลภาวะที่ส่งผลต่อสิ่งแวดล้อม เราหวังว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างก้าวล้ำ แต่เราไม่เคยมองย้อนกลับไปว่าผลเสียที่ตามมานั้นมันก็ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน เราสร้างโลกใหม่เพื่อทำลายโลกเก่ากันอยู่หรือเปล่า?

ภาพ : อินเทอร์เน็ต
ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่และร้ายแรงในจีนกำลังก่อตัวขึ้น และนี่จะกลายเป็นโรคระบาดชนิดใหม่ คุณหมอท่านหนึ่งเคยกล่าวว่า โลกของเราทุกวันนี้มีเชื้อร้ายก่อเกิดขึ้นทุกวัน จนการแพทย์การรักษาตามแทบไม่ทัน เชื้อตัวหนึ่งพัฒนากลายเป็นเชื้ออีกตัวหนึ่ง ผลกระทบมาจากสภาพแวดล้อมที่เราสร้างขึ้น ฝุ่นละอองขนาดเล็กที่ยังคงแพร่กระจายในอากาศของเมืองหลวงและเมืองใกล้เคียง ก็นำมาซึ่งเชื้อโรคร้าย ที่อาจจะกลายเป็นการระบาดได้ไม่วันใดก็วันหนึ่ง
แม้ว่าเราพยายามจะใช้เทคโนโลยีในการรับมือกับโรคร้าย โดยที่ตั้งเป้าหมายจะให้ชีวิตคนเป็นอมตะ ผู้คนจะอายุยืนยาวเกินร้อยปี สิ่งเหล่านี้จะเป็นจริงได้หรือถ้าหากจิตใจของผู้คนยังจมอยู่กับความมักง่ายและเห็นแก่ตัว
ความรัก ความเมตตา กรุณา” ยังคงเป็นสิ่งที่โลกต้องการเพื่อนำมาใช้แก้ปัญหาทุกอย่างในทุกบรรทัดข้างบน มิใช่เทคโนโลยีที่กอบกู้โลกแต่เมตตาธรรมต่างหากที่จะค้ำจุนโลก มาช่วยกันดับไฟในใจเราก่อน ดับด้วยน้ำใจ เพื่อเราจะได้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการรักษาอาณาจักรที่พระเจ้ามอบหมายให้เราดูแลนี้ ให้เป็นสวนสันติสุขตลอดไป...

ไม่มีความคิดเห็น: