เก็บเกี่ยวความรู้สึก
ในขณะที่เดินทางเพื่อทำกิจวัตรในทุกเช้า
หลายครั้งเริ่มเห็นคนหน้าตาเดิม ๆ เดินทางร่วมกันบนเส้นทางเดียวกัน บางคนเดินสวนกัน
แต่เราไม่เคยพูดคุยกัน นี่คือวิถีคนเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมี
ที่พ้นผ่านไปโดยมิได้รู้สึกรู้สาต่อกัน
จนกลายเป็นนิสัยที่เรามักไม่ค่อยจะใยดีต่อผู้คนรอบข้าง เรามักจะอยู่ในโลกของเรา
ขึ้นรถได้ก็เอามือถือมาถูไถ เอาหูฟังมาสวมใส่ ตาก็จ้องมองดูโลกกว้างบนจอเล็ก ๆ
ต่างคนต่างไม่เคยมองหน้ากลัวจะมีเรื่อง นานวันเข้าเราก็เริ่มที่จะไร้ความรู้สึกต่อคนที่อยู่ตรงหน้า
ไปให้ค่ากับสิ่งที่เกิดขึ้นในโลกเสมือนจริง
พูดคุยได้แสดงความรู้สึกแบบฉาบฉวยได้อย่างไม่เคอะเขินในที่แห่งหนนั้นบนอากาศ
นั่นอาจจะเป็นเพราะว่าเราต่างคนต่างทิ้งขว้างความเมตตา ทิ้งขว้างน้ำใจดีต่อกัน
เกิดความระแวงว่าคนนั้นจะคิดไม่ดีต่อเรา มองเราในแง่ไม่ดี จนบางครั้งต้องทำตัวอย่าไปแคร์คนอื่น
ช่างเขาเถอะ เพื่อความสบายใจ กระแสสังคมกดดันให้เราต้องต่างคนต่างอยู่ อย่าไปวุ่นวายต่อกัน(บางกรณีถือเป็นเรื่องที่ควรทำ)
แต่วันนี้เราเป็นแบบนี้กันทุกครั้งทุกกรณีไปจนหัวใจไร้ความรักไร้รากแห่งเมตตาไปเสียแล้ว
ในสายตาคนอื่นมองว่าเรา
บางคนอาจจะเข้าใจผิดคิดร้ายต่อเรา ที่เห็นเราทำบางสิ่งบางอย่างไม่ได้อย่างใจเขา
บางคนก็กลัวเราจะได้ดีกว่าเขาก็มี จึงใช้สายตาแห่งความริษยามองมา
แล้วเราจะทำเช่นไร??? เพื่อว่าเมื่อคนอื่นมองเห็นเรา เขาจะได้เห็นความงาม
ทั้งนี้ไม่ใช่ให้คนอื่นเห็นความงามของตัวตนเราและยกย่องเรา
แต่เราต้องตระหนักว่าคนอื่นจะได้มองเห็นองค์แห่งความดีงามในตัวเราต่างหาก
ส่วนใครจะมองเห็นเช่นไร ก็มิใช่เราอีกนั่นแหละที่จะไปเที่ยวกำหนดกฎเกณฑ์
เราทำดีให้ดีที่สุด และเชื่อมั่นว่าความดีนั้นอยู่ในสายพระเนตรของพระเจ้าเสมอ
การดำเนินชีวิตยุคปัจจุบันไม่ง่ายนัก
เราโชคดีที่มีผู้สืบสานคำสอนของพระคริสต์เพื่อให้ชีวิตของเรามุ่งสู่ความงามเสมอมา
สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส ทรงเคยให้สัมภาษณ์พิเศษกับสื่อคาทอลิกภายใต้การดูแลของสภาพระสังฆราชคาทอลิกแห่งอิตาลี
โดยมีเนื้อหาสำคัญได้นำมาแบ่งปัน เพื่อให้เรานำไปปฏิบัติในชีวิตจริง
แบบอย่างที่ง่าย ๆ ที่จะนำสันติมาสู่สังคมโลก
พระองค์กล่าวถึงสังคมปัจจุบันว่า“ศัตรูที่น่ากลัวสุดของพระเจ้าคือเงิน
ถ้าคุณคิดสักนิด พระเยซูตรัสไว้แล้วว่า เราจะรับใช้พระเจ้าและเงินพร้อมกันไม่ได้
พระเยซูให้สถานะเงินเป็นเจ้านายเช่นกัน เจ้านายสองคนคือพระเจ้าและเงิน
เราต้องเลือกสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ความจริงก็คือปีศาจมักจะเข้ามาทางกระเป๋าสตางค์ของเรา
มันเหมือนเป็นเส้นทางที่ปีศาจชอบมาก ๆ
จึงจำเป็นที่เราต้องสร้างพระศาสนจักรที่ยึดความยากจนเพื่อผู้ยากไร้ การประจญล่อลวงเจอแน่นอน!
สิ่งที่พ่อเจอก็ไม่ต่างจากคนอื่นหรอก ปีศาจมักจะมาเจาะจุดอ่อนของเรา นั่นคือ
ความไม่อดทน ความเห็นแก่ตัว และความขี้เกียจ”
“การเป็นคนอารมณ์ดีถือว่าเราได้รับพระหรรษทานจากพระเจ้า
พ่อสวดขอพระเจ้าทุกวันให้พ่อเป็นคนอารมณ์ดี พ่อสวดบทภาวนาของนักบุญโทมัส
มอร์ ด้วยนะที่สวดว่า “โปรดประทานให้ลูกเป็นคนขำขันอารมณ์ดี”
พ่อสวดขอพระเจ้าโปรดช่วยให้พ่อหัวเราะบ่อย ๆ เวลามีคนมาเล่าเรื่องตลกให้ฟัง
เพราะการเป็นคนอารมณ์ดีคือคติในการดำเนินชีวิตของพ่อด้วย”
“พ่อเป็นภูมิแพ้พวกประจบสอพลอ
มันเป็นโดยธรรมชาติเลยนะ! การประจบไม่ใช่เรื่องดี การประจบคนอื่นคือการใช้คนอื่นเพื่อปกปิดความต้องการแท้จริงของเราในการได้รับอะไรบางอย่าง
น่าละอายมาก ... ส่วนเรื่องการพูดจาให้ร้ายตัวพ่อหน่ะหรือ พ่อรับได้
เพราะพ่อเป็นคนบาป พ่อรู้ตัว เวลาคนใส่ร้ายหรือนินทาพ่อ มันไม่ทำให้พ่อกังวลหรอกนะ”
“คำว่า “โรคหัวใจไร้ความรู้สึก”
พ่อเรียนรู้จากพระสงฆ์อาวุโสท่านหนึ่งที่พ่อไปเยี่ยม ท่านสอนคำนี้ให้พ่อ นี่คือโรคที่เกิดกับคนยุคนี้
พ่อคิดว่าความเมตตาคือยารักษาโรคนี้ได้ บ่อเกิดของโรคนี้คือวัฒนธรรมทิ้งขว้าง
คนที่ชอบพูดว่า “เราไม่ต้องการคนชรา เราส่งพวกเขาไปอยู่บ้านคนชราจะดีกว่า
ส่งไปแล้วไม่ต้องเอากลับมานะ” คนพวกนี้แหละคือพวกหัวใจไร้ความรู้สึก
คนอีกจำพวกที่หัวใจไร้ความรู้สึกก็คือพวกที่ชอบทำสงคราม”
เคล็ดลับในการรักษาการอุทิศตนอย่างไม่มีวันจบสิ้น
“พ่อก็ไม่รู้นะว่าพ่อบริหารจัดการเรื่องนี้ได้อย่างไร
แต่คิดว่าน่าจะมาจากการสวดภาวนา สิ่งนี้ช่วยพ่อได้มากเลย
เพราะการสวดทำให้พ่อได้คุยกับพระเจ้า ไม่ว่าจะถวายมิสซา สวดทำวัตร หรือสวดสายประคำ
ช่วยได้หมด การภาวนายังช่วยให้พ่อหลับลึกและหลับสนิทด้วย
บางทีนี่อาจเป็นพระหรรษทานจากพระเจ้า พ่อนอนหลับเป็นตายเหมือนท่อนไม้เลย
พ่อหลับสนิทนาน 6 ชั่วโมงทุกคืน บางทีนี่อาจเป็นเคล็ดลับทำให้พ่อสุขภาพดีก็ได้”
(บางส่วนจากคำสัมภาษณ์พระสันตะปาปา แปลโดย Pope Report)
ในวันนี้เราจะตอบคำถามต่อตัวเราเองเสมอว่า
เราได้ยิ้ม เราสงสาร เราสนทนา เราเห็นใจต่อผู้คนที่อยู่ข้าง ๆ บ้างหรือยัง???
อย่าไร้ความรู้สึกที่มีต่อกัน เพราะเราล้วนเป็นสิ่งสร้างที่แสนจะงดงามที่ถูกเลือกสรรมาอยู่บนโลกนี้
ทุกคนล้วนมีคุณค่าในแบบเฉพาะตัว อย่าไปดูถูก อย่าไปกดดัน อย่าไปข่มเหง
จนทำให้ทั้งเราและเขาไร้ความรู้สึกที่ดีต่อกัน สร้างรอยยิ้มและมีเมตตาต่อกัน
เพื่อเราจะได้เป็นส่วนหนึ่งแห่งความงามในวันแห่งประวัติศาสตร์
วันที่พ่อจะเดินทางมาพบลูก ๆ เราจะได้ระลึกถึงความรู้สึกในช่วงเวลาที่ดี ๆ
ด้วยกันตลอดไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น