วันเสาร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2562

ข้าวสวยอยู่ที่ข้าว


ข้าวสวยอยู่ที่ข้าว
นับว่าเป็นความโชคดีอย่างหนึ่งในชีวิตที่ตลอดเวลามีข้าวสารส่งมาจากญาติผู้ใหญ่ใจดีจากต่างจังหวัดไม่ขาดหม้อ และได้ทานข้าวสวยหอมกลุ่นกลิ่นข้าวใหม่ การหุงข้าวสารให้เป็นข้าวสวยจึงเป็นกิจวัตรประจำบ้าน บางวันบางเวลาก็เกิดอาการเบื่อที่จะไปซื้อกับข้าวแค่อุ่นข้าวสวยในหม้อให้ร้อน ไข่เจียวสักจานก็สำราญพุงแล้ว ความง่าย ๆ ของข้าวสวยจึงเป็นทางออกที่ดีสำหรับช่วงเวลาแบบนั้น และด้วยการที่เรามีข้าวสวยทานประจำ บางครั้งก็ทำให้เราลืมความสำคัญของข้าวสวยไป เรามักจะว้าวุ่น กระวนกระวายหาสิ่งนั้นสิ่งนี้มาทานมากินกัน เราให้คุณค่ากับสิ่งที่จะมาทานกับข้าวมากเกินไป เรามองข้ามหลักแห่งการทานแบบไทย ๆ ไป แต่วันใดที่เราคิดอะไรไม่ออกเราก็จะมองเห็นข้าวในหม้อ ชีวิตเราก็มักเป็นแบบนี้ เรามักไม่ค่อยจะเห็นค่าของสิ่งที่มี เรามักมองหาสิ่งที่ขาดจนพลาดสิ่งที่มีอยู่เสมอ สิ่งที่มีนั้นบางครั้งคือสิ่งที่ให้คุณค่าคุณประโยชน์ และคู่ควรกับเรามากที่สุด


ด้วยความที่เราแสวงหาสิ่งอื่นมาตบแต่งจนลืมเนื้อแท้แกนหลักในชีวิตไปยิ่งทีเรายิ่งแสวงหาจนนับครั้งไม่ถ้วน และแสวงอย่างไม่มีวันหยุด ใช่หรือไม่บางทีเราดันให้คุณค่ากับสิ่งที่ห่อหุ้มมากกว่าเนื้อใน แล้วคิดไปว่าสิ่งนั้นคือเนื้อแท้ เราให้ความสำคัญกับจานชามที่ใส่ข้าว ให้ความสำคัญกับข้าวมากกว่าข้าวสวยร้อน ๆ ที่นอนรออยู่ในหม้อ ที่จำเป็นต้องทานเป็นอาหารหลักของคนไทย ทำไมเราจึงเรียกว่า“ข้าวสวย ?”

เพิ่มคำอธิบายภาพ : อินเตอร์เน็ต
“ข้าวสวย” นั้น น่าจะเป็นคําที่กร่อนเสียง หรือ กลายเสียงจากคําว่า ซุย แทนที่จะเรียกว่า ข้าวซุย คําว่า ซุย มีความหมายคล้ายคํา ว่า ร่วน คือมีลักษณะไม่เกาะกัน คนภาคกลางไม่เรียกเช่นนั้น เรากลับเรียกว่า ข้าวสวย ในการนิยามความหมายคําว่า สวย จึงนิยามความหมายตามที่มีการใช้ทั่ว ๆ ไป อย่างมีการใช้ว่า บ้านสวย คนสวย ฟ้าสวย รถสวย ฯลฯ สวยตรงนี้มีความหมายคร่าว ๆ ว่างามนั่นเอง แต่ถ้าจะอธิบายคําว่า สวย ที่ผนวกอยู่ท้ายคําว่า ข้าว เราคนไทยไม่ได้แปลว่า ข้าวงามหรือข้าวสวยดี แต่เราหมายถึงข้าวเจ้าที่หุงสุกแล้วพร้อมกินได้ (นิตยสาร ศิลปวัฒนธรรม)
หญิงสาวนางหนึ่ง หลังจากแต่งงานไปแล้ว ยามที่เธอพบเห็นใครมีบ้านหลังใหญ่โต มีรถหรูๆขับ เธอมักจะโทษกล่าวและเสียใจที่ตนเองช่างไม่มีวาสนาเทียบใครเขาได้ 
ในวันหยุดครั้งหนึ่ง เธอกลับไปเยี่ยมแม่ที่บ้าน เธอระบายความขุ่นเคืองที่อัดอั้นอยู่ในใจให้แม่ฟัง แม่ของเธอได้แต่รับฟังและก็ยิ้มไม่พูดอะไร!
เมื่อถึงเวลากินข้าว แม่ของเธอก็เปิดตู้หยิบชามข้าวออกมาหลายใบ มีทั้งชามสแตนเลส ชามเซรามิก และชามกังใส นางเอ่ยกับลูกสาวว่า
“ลูกจ๋า รีบเอาชามไปใส่ข้าวเร็ว!”
คนในบ้านมีสี่คน เธอเลือกชามข้าวที่สวยที่สุดไปสี่ใบ เหลืออีกสี่ใบที่เธอไม่เลือก รอลูกสาวตักข้าวใส่ชามเสร็จแล้ว นางจึงชี้มือไปที่ชามทั้งสี่ใบที่ถูกทิ้งไป
“ลูกจ๋า ลูกเห็นอะไรหรือเปล่า? ชามที่ลูกเลือกไปใส่ข้าวนั้น มีแต่ใบสวย ๆ ทั้งนั้น แต่ใบอื่น ๆ แม้จะใส่ข้าวได้เหมือนกัน ลูกกลับไม่ยอมใช้มัน ปล่อยมันไปไว้ไม่เห็นมันอยู่ในสายตา นี่เป็นเรื่องปกติ ใคร ๆ ก็อยากได้ชามที่สวย ๆ มาใส่ข้าวกันทั้งนั้น!”
เธอรู้สึกว่าวันนี้แม่พูดมากเป็นพิเศษ แต่ก็ตั้งใจฟังในสิ่งที่แม่พูด

“ลูกรู้ไหม นี่คือที่มาของความคับแค้นใจในวาสนาของลูก เวลาเรากินข้าว เราต้องการข้าวไม่ใช่ชามที่สวยหรือไม่สวย แท้ที่จริง การแต่งงานก็เหมือนกับชามที่เรานำมาใส่ข้าว สวยหรือไม่สวยมันก็แค่รูปลักษณ์เปลือกนอก มีเพียงความรัก ที่เป็นข้าวที่อยู่ในชาม ข้าวหอมหรือไม่หอม ไม่เกี่ยวกับชาม ดังนั้น ต่อให้ชามที่ลูกถืออยู่เป็นชามสังกะสี หากในชามนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก ขอเพียงลูกไม่ใส่ใจกับชามใบนั้น ลูกก็จะรู้ว่าลูกมีวาสนาเพียงใด! ”
ชาม แม้จะสวยงามปานใด หากไม่มีข้าว ต่อให้ราคาแพงลิบ มันก็คือความว่างเปล่า ชีวิตครอบครัวก็เช่นกัน หากปราศจากความรัก ต่อให้มากสมบัติพัสถาน ชีวิตคู่ก็ปราศจากซึ่งความสุข มีแต่ความทุกข์ไม่จบสิ้น (จากเพจ : นุสนธิ์บุคส์)
            ชีวิตของคนเรานั้นเกิดขึ้นมาจากความรัก ความรักจึงเป็นเสาหลักของชีวิต และสำหรับเราคริสตชน เราเชื่อว่าความรักนั้นมาจากพระเจ้าพระผู้สร้าง หากเราจะติดตามพระเจ้าเราต้องปล่อยละทุกสิ่งที่เป็นเพียงสิ่งภายนอก แน่นอนเป็นการยากที่เราจะไปถึงจุดนั้น สิ่งที่เราพอทำได้คือ การยึดเอาความรักที่สวยงามเป็นจุดหลักในการดำเนินชีวิตโดยไม่ต้องไปปรุงแต่งเอาสิ่งภายนอกมาปกคลุมให้ดูสวยเกินงาม เราไม่จำเป็นต้องหาสิ่งใดมาให้ดูสมบูรณ์แบบ เหมือนกับกระแสค่านิยมของสังคมโลกที่สร้างให้เรารกรุงรังไปด้วยเปลือก ที่เต็มไปด้วยการสะสม และการแข่งกัน อวดกันไปมา ความรักของเราไม่ต้องอิจฉากัน ต้องใส่ใจเรื่องของจิตใจจิตวิญญาณให้มากกว่าสิ่งภายนอก หากเราเป็นผู้ที่คำนึงถึงความรักเป็นหลักในชีวิต เราจะมองเห็นผู้อื่นด้วยความรัก เราจะไม่ดูถูกหยามหมิ่นกัน แต่ถ้าหากเรามัวแต่ปล่อยให้ความรักนอนนิ่งจมอยู่ก้นเหวก็เหมือนกับปล่อยให้ข้าวสวยในหม้อบูดเน่าไป ชีวิตเราก็ไร้ค่า นำมาใช้ประโยชน์ต่อไปไม่ได้ มีแต่จะทิ้งไปให้พ้นๆ ...และถ้าหากครั้งใดตักข้าวใส่จานจงให้ความสำคัญข้าวสวยมากกว่าจานชามที่ใส่ ความรักก็เป็นเช่นเดียวกัน

ไม่มีความคิดเห็น: