ชานชรา
อย่าแปลกใจในชื่อเรื่อง ที่ตั้งใจจะเขียนแบบนี้
อาจจะไม่ถูกต้องกับคำที่คุ้นชินว่า “ชานชาลา”(รถไฟ) ก็เพราะว่ากำลังเห็นความเปลี่ยนแปลงอันรวดเร็วของสังคมเป็นอย่างมาก
อันเกี่ยวกับทัศนคติช่วงวัยของผู้คน ยิ่งเห็นเด็ก ๆ แถววัดเราในวันก่อนวันนี้กลับเป็นหนุ่มสาว
สู่วัยทำการทำงาน เริ่มมานึกว่าแล้วเราล่ะ กำลังถูกวันเวลาไล่ล่า
จากเคยเป็นหนุ่มน้อยคล้อยไปแป๊บเดียวเป็นหนุ่มเหลือน้อยเสียแล้ว หลายครั้งเราก็มักได้ยินว่าเรากำลังเข้าสู่สังคมสูงวัย
ที่จะมีคนอาวุโสมากขึ้น ๆ จนทำให้มีจำนวนมากที่สุดในสังคม ขณะที่ความเปลี่ยนของสังคมโลกเกิดขึ้นนั้นเพื่อสนองตอบต่อคนรุ่นใหม่
ที่อาจจะมีไม่มาก
แต่กำลังมีอิทธิพลจนทำให้พวกเขาเริ่มหลงลืมรากฐานจากคนรุ่นเก่าก่อน
ความแตกต่างเช่นนี้ค่อย ๆ เข้าครอบงำทำให้เราเริ่มเห็นรอยร้าวระหว่างวัยเกิดขึ้น พ่อแม่
ปู่ย่าตายาย บางคนก็ไม่สามารถเข้าใจในวิถีคนรุ่นใหม่
และแน่นอนคนรุ่นใหม่ล่าสุดกำลังทอดทิ้ง ปล่อยให้ผู้ผ่านวันมาก่อนเหล่านั้นออกมานั่งเหม่อลอยอยู่นอกชานเรือน
ไม่ให้มีส่วนร่วม รู้สึกรำคาญ พูดคุยกันไม่รู้เรื่อง
แท้จริงแล้ว เราทุกคนต่างก็มีคุณค่าในตัวตน
ในวันวานด้วยกันทั้งนั้น ใช่หรือไม่ หากไม่มีพวกเขาวันนั้นก็ไม่มีพวกเราวันนี้
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสตรัสไว้อย่างน่าฟังว่า “ผู้อาวุโสคือปรีชาญาณของลูกหลาน”
ในขณะเดียวกันเราก็ต้องไม่ลืมว่า “ลูกหลานคือพลังขับเคลื่อนต่อยอดสังคมที่มีมา”
แล้วเราจะต้องทำเช่นไรเล่า? เพื่อให้คนสองวัย ใจต่างรุ่นอยู่ร่วมกันอย่างผาสุก
สิ่งนั้นคือ การยอมรับเข้าใจซึ่งกันและกัน
ให้ความอดทนและใส่ใจต่อความคิดเห็นโดยมิต้องแสดงออกอย่างดื้อรั้น แล้วชานชรานั้นจะให้ความร่มเย็น
จะไม่มีการนั่งเดียวดาย มีตัวอย่างที่ดีงามเรื่องหนึ่งที่ขอนำมาเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
เมื่อไม่นานมานี้เว็บไซต์ต่างประเทศได้เปิดเผยเรื่องราวของชาวเน็ตท่านหนึ่ง
โดยเขาได้เล่าว่าบ่ายวันหนึ่ง พ่อลูกนั่งอยู่บนม้าหินในสวนหน้าบ้าน
พ่อนั่งข้างลูกชายที่กำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ จู่ ๆ ก็มีนกกระจอก
บินมาเกาะที่พุ่มไม้ พ่อถามว่า “นั่นอะไรน่ะ” ลูกชายเงยหน้าจากหนังสือพิมพ์
และตอบว่า “นกกระจอกครับ” แล้วก็ก้มหน้าอ่านหนังสือพิมพ์ต่อไป
พ่อพยักหน้าสายตายังคงมองดูนกกระจอกต่อไป
นกกระจอกบินไปเกาะพุ่มไม้อีกพุ่มหนึ่ง พ่อก็ถามอีกครั้งว่า “นั่นอะไรน่ะ”
ลูกชายเริ่มรำคาญตะคอกใส่พ่อ “ก็บอกว่านกกระจอกไง นก-กระ-จอก !”
ผ่านไปสักพักพ่อถามซ้ำอีกครั้ง “นั่นอะไรน่ะ” ครั้งนี้ลูกชายยืนขึ้นพร้อมกับปิดหนังสือพิมพ์วางบนโต๊ะ
ตะคอกเสียงดัง “ก็บอกว่า นกกระจอก จะถามอีกกี่รอบ ตั้งใจฟังบ้างไหม!”
พ่อลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปในบ้านก่อนจะเดินออกมาอีกครั้งพร้อมกับหนังสือเล่มหนึ่ง
พ่อยื่นให้ลูกชายให้อ่านให้ฟัง
ลูกชายเปิดหนังสือออกมาดูก็พบว่าเป็นไดอารี่ลายมือของพ่อ
“วันนี้ลูกชายของผมอายุสามขวบแล้ว
เรานั่งเล่นกันอยู่ในสวน มีนกกระจอกตัวหนึ่งบินมาตรงหน้าเราสองคน
ลูกชายถามด้วยคำถามซ้ำ ๆ กว่า 21 ครั้งว่า “มันคืออะไรครับพ่อ” ผมตอบลูกไป 21
ครั้งว่า “นกกระจอกครับลูก” ทุกครั้งที่เขาถามผม ผมจะกอดเขาทุกครั้ง
เป็นอย่างนี้ทุกครั้ง ผมไม่รู้สึกเบื่อหรือรำคาญเลย
กลับรู้สึกว่าลูกช่างน่ารักไร้เดียงสาเสียจริง”
เมื่ออ่านจบพ่อยิ้มให้กับลูกชาย
ตอนนั้นในตาของเขามีแต่น้ำตาที่ไหลอาบแก้ม โผกอดผู้เป็นพ่อ รู้สึกโกรธตัวเองที่ทำกับพ่อแบบนั้น
เพียงแค่คำถามซ้ำกันเพียงสี่ครั้ง เขาก็รำคาญพ่อได้มากขนาดนี้ เทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่พ่อตอบคำถามลูกเป็นสิบเป็นร้อยครั้ง (แปลและเรียบเรียงโดย
LIEKR)
และจากเรื่องนี้ผู้เขียนเองก็มีประสบการณ์คล้าย
ๆ กัน เมื่อแม่อายุเข้าหลักแปดร่างกายเจ็บออด ๆ แอด ๆ และสมองเริ่มทำงานช้าลง
ความจำเลือนหาย ถามคำถามเดิม ๆ ทั้งวันจนรำคาญ ช่วงแรกจึงเกิดภาวะกระทบกระทั่งจนกระเทือนทั้งครอบครัว
แต่ด้วยพระพรแห่งความรักที่พระประทานมาทางบุคคลที่เรารู้จัก แนะนำคุณหมอที่เชี่ยวชาญเรื่องผู้สูงวัยคุณหมออธิบายว่าอาการนี้เกิดขึ้นกับผู้สูงอายุเป็นเรื่องธรรมดา
พร้อมทั้งให้คำแนะนำในการอยู่กับแม่อย่างเข้าใจและใส่ใจ การรักษาที่ดีที่สุดอยู่ที่เราลูกหลานต้องช่วยกัน
อย่าได้ถือโทษโกรธท่าน อย่าได้รำคาญ หรือรำคาญได้แต่อย่าแสดงออกให้แม่เห็น เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา
ลูก ๆ หลาน ๆ นับครั้งไม่ถ้วนที่ทำให้แม่ต้องรำคาญ
แต่แม่ไม่เคยแสดงออกให้เราได้รับรู้ บทเรียนแห่ง “ชานชรา”
ได้นำความสุขมาสู่ครอบครัว เราต่างมีความสุขตามสภาพที่รับได้ ใช่หรือไม่
ถ้าไม่มีแม่ เราจะมีความรักความสามัคคีกันเช่นนี้หรือ??? อย่าปล่อยให้ความเปลี่ยนแปลงของโลกมาเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ของคนเราเลย
ณ ชานชาลา แห่งรักจะต้องไม่มีคนมานั่งรอคอย
อย่าปล่อยให้ชานชราต้องโดดเดี่ยวเดียวดาย
เพราะพวกเขาได้สร้างโลกให้เราได้อยู่มาอย่างสมบูรณ์แล้ว
อีกประการหนึ่ง
เราก็มักจะเปรียบเทียบในสิ่งที่เรามีกับสิ่งที่คนอื่นมีเสมอ แล้วมักคิดเสียด้วยว่าทำไม
บ้านเรา พ่อแม่เรา ปู่ย่าตายายเราไม่เหมือนของบ้านนั้นบ้านนี้เลย ทั้ง ๆ
ที่ความเป็นจริง เราล้วนมีสิ่งดีงามด้วยกันทั้งนั้น อย่าปิดหัวใจ อย่าเห็นเรือนชานคนอื่นงดงามกว่าของเรา
เพราะแต่ละที่ย่อมมีดีไม่เหมือนกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น