สุขในทุกข์
ณ สถานีรถไฟเมืองซัปโปโร
เวลาประมาณห้าโมงเย็น
ผู้คนกึ่งเดินกึ่งวิ่งเข้ามาเป็นระลอก ๆ ต่างมุ่งไปยังเส้นทางเป้าหมายของตน
ที่มีหลากหลายเส้นทาง ทุกคนกำลังไปในที่ ๆ ของตน มีบ้างบางคนอาจจะไปยังอีกที่หนึ่งเพื่อทำธุระปะปัง
ต่างมุ่งสู่วิถีทางแห่งตนหลังเลิกจากการงาน ที่อาจจะมีทั้งทุกข์สุขปะปนกัน ยิ่งในวันที่หิมะตกหนัก
การสัญจรลำบาก ดูเหมือนมีแต่ความทุกข์ แต่หลายคนก็อาจกำลังมีความสุขอยู่ก็ได้
เพราะในทุกความทุกข์ย่อมปรากฏร่องรอยแห่งความสุขได้เสมอ เคยได้ยินมาว่า “ความทุกข์สร้างสิ่งมหัศจรรย์
ชีวิตที่พบความทุกข์ เป็นชีวิตที่แท้ ไม่มีความทุกข์ก็ไม่มีการเติบโต ความทุกข์เป็นพลังขับเคลื่อนให้หลายอย่างเกิด
ถ้าความทุกข์ไม่เข้ามาหา ก็จะไม่รู้ว่า ความสุขที่แท้เป็นอย่างไร ไม่มีความทุกข์
ก็ไม่รู้จักความสุข เพราะความทุกข์พิสูจน์ความเป็นคนอ่อนแอ หรือเข้มแข็ง”
ในวันนี้วันที่สังคมโลกเต็มล้นไปด้วยการ
“พ่ายแพ้” ไม่เป็น
เห็นคนอื่นมีความสุขมากกว่าตัวเองไม่ได้
เราจึงเห็นกลเกมที่ใช้เชือดเฉือนกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ทำทุกอย่างให้ได้ดังใจหมาย
ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็เอาด้วยกลด้วยคาถา ด้วยวิธีการอันแยบยล ไม่ยอมรับต่อความคิดเห็นต่างของส่วนรวม
หรือบางคนแค่แกล้งยอมรับแล้วหาทางที่จะทำให้ได้อย่างที่คิดด้วยกลวิธี เราเห็นคนประเภทนี้มากขึ้นเรื่อย
ๆหลายคนยิ้มเยาะเพราะได้ทำอย่างที่ตัวเองคิดอย่างที่ตัวเองต้องการได้โดยไม่สนใจเลยว่าคนส่วนใหญ่เขาคิดอย่างไร
นี่คือความสุขหรือ นี่คือชัยชนะหรือ นี่คือความรักหรือ ??? ใช่หรือไม่ ความสุขมวลรวมของสังคมวันนี้มีค่าติดลบ
เพราะความพยายามที่เราทุกคนต่างมุ่งหวังจะเป็นผู้ชนะเหนือผู้อื่น หวังจะครอบครองผู้อื่นด้วยสร้างมโนทัศน์ของเราเข้าครอบงำ
หวังสร้างสุขตัวตนบนความทุกข์และความขัดข้องใจของผู้คน ถ้าใจคนเราไม่นิ่งเพียงพอต่อให้นั่งในวิหารอันศักดิ์สิทธิ์เราก็ไม่พบกับคำว่าสันติสุขที่แท้จริง มีตัวอย่างเล็ก
ๆ ที่สามารถสร้างความสุขมวลรวมได้แบบไม่ยากนัก
ณ บริษัทธรรมดาๆ แห่งหนึ่ง วันหนึ่ง หัวหน้าแผนกก็ประกาศกฎออกมาให้ทุกวันอังคาร
และศุกร์ ทุกคนต้องมาทานข้าวร่วมกันโดยนำกับข้าวมาคนละหนึ่งอย่าง
ทุกคนในแผนกต่างตกใจและสงสัยเป็นอย่างมาก
ต่างคนต่างรู้สึกว่ามันวุ่นวายและน่ารำคาญ
“ฉันไม่สนิทกับคนนั้นเลย
จะกินข้าวร่วมโต๊ะกันได้เหรอ?” “ทำกับข้าวไม่เป็น จะเอาที่ไหนมาแบ่งล่ะ?” “หัวหน้าหางานให้อีกละ
ต้องมานั่งล้างจานกันอีก” “ฉันแทบไม่เคยคุยกับหัวหน้าเลยนั่งด้วยกันเกร็งตายเลย”
เหตุผลมากมายหลุดออกมา
และแล้วเที่ยงวันอังคารก็มาถึง
ผู้ชายในออฟฟิตก็ช่วยกันยกโต๊ะมาต่อกัน ส่วนพวกผู้หญิงจัดเตรียมกับข้าวใส่จาน
บนโต๊ะมีกับข้าวต่าง ๆ มากมาย ทั้งน้ำพริกปลาทู ยำวุ้นเส้น พะแนงไก่ ผัดผัก ไก่ทอด
ไข่ต้ม ฯลฯ และเมื่อกับข้าววางบนโต๊ะ ทุกอย่างดูละลานตาน่ากินไปหมด ทุกคนก็ไม่รอช้ารีบลงมือทันที
“น้ำพริกปลาทูของใครครับ อร่อยมากเลย”
“ของคนนั้น คนที่แกไม่สนิทด้วย” “อ้าวหรอ เออ เขาทำอร่อยเนอะ เธอๆ
น้ำพริกอร่อยมากเลย ทำมาบ่อย ๆ นะ” “ขอบคุณค่ะ ไว้จะทำมาให้กินอีกนะคะ” “ไก่ทอดน้ำจิ้มรสเริ่ดมาก
ร้านไหนเนี้ย” “ร้านซอยตรงข้ามนี่เอง” “วันหลังพาไปซื้อมั้งดิ” “ได้ค่ะจัดไป” “หัวหน้าชอบทานพะแนงเหรอคะ
เหมือนฉันเลยค่ะ” “จริงหรอ ผมชอบมากเลย ชามนี้อร่อยมากเลย ของคุณรึเปล่า” “ของผมเองครับ
ภรรยาผมทำให้” “โฮวววววววว” “มีคนอวดเมีย”ฮ่า ๆๆๆๆ
ภาพ : อินเตอร์เน็ค |
บทสนทนามากมายเรื่องอาหารหลั่งไหลเข้ามากันไม่ขาดสาย
เสียงหัวเราะดังตลอดการสนทนา ตอนล้างจานพวกสาว ๆ
ก็เม้าส์มอยกันเรื่องเครื่องสำอางตัวใหม่ ส่วนหนุ่ม ๆ
พูดคุยกันเรื่องผลบอลเมื่อคืน
แล้วการกินอาหารร่วมกันครั้งต่อไปก็กลายเป็นวันที่รอคอยของทุกคน แต่ละสัปดาห์ผ่านไป
มีสิ่งหนึ่งที่ทุกคนเริ่มสังเกตเห็นบนโต๊ะอาหาร ทุก ๆ มื้ออาหารจะมี “ไข่ต้ม” เป็นหนึ่งในกับข้าวด้วยเสมอ
และเมื่อทุกคนเริ่มหาที่มาของไข่ต้ม ก็พบว่า ทุกวันคนที่นำไข่ต้มมาร่วมโต๊ะอาหารคือพี่คนหนึ่งที่กำลังมีปัญหาเรื่องการเงิน
ทำให้เขาไม่มีเงินกินอะไรนอกจากไข่ต้ม ถึงตรงนี้เองทุกคนก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมหัวหน้าของพวกเราถึงคิดนโยบายเรื่องการกินข้าวร่วมกันทุกสัปดาห์ออกมา
เพราะอยากให้พี่คนนี้ได้กินอะไรนอกจาก “ไข่ต้ม” โดยไม่รู้สึกอายนั้นเอง
ต่อจากนั้นทุกคนในทีมก็ขอให้หัวหน้าประกาศวันกินข้าวร่วมกันเพิ่มขึ้น จาก 2 วัน
เป็น 3 วัน จาก 3 วันเป็น 4 วัน และสุดท้ายก็กลายเป็นกินข้าวร่วมกันทุกวัน ออฟฟิตนี้จึงกลายเป็นหนึ่งในออฟฟิตที่มีความสุขที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศนี้(บทความจาก
The Working Insight)
วิธีที่จะสร้างความสุขให้เกิดขึ้นได้ในขณะที่มีความทุกข์นั้นควรเป็นสิ่งที่เราทุกคนน่าจะช่วยกันทำ
อย่ามัวแต่สร้างสุขเพียงลำพัง เพราะนั้นอาจจะก่อให้เกิดความทุกข์ต่อคนรอบข้าง เราควรที่จะช่วยกันเพิ่มความสุขให้กันและกันเพื่อลดความทุกข์สาธารณะลงบ้าง
เพียงแค่ยอมที่จะพ่ายแพ้บ้างในบางครั้ง เพียงแค่มีใจที่อ่อนน้อม
เพียงแค่มีใจที่ยากจน มีใจบริสุทธิ์ นี่ก็จะสามารถชนะความทุกข์ได้อย่างมีความสุขแล้วและอย่าลืมว่าการได้รับชัยชนะคนเดียวนั่นมันเหงา
ต้องร่วมกันชนะจึงจะเบิกบานมีความสุขอย่างแท้จริง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น