วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

จึงเรียนมาเพื่อสุข


จึงเรียนมาเพื่อสุข
อันความสุขของใครก็ของเขา เรามักมีไม่เหมือนกัน เป็นสัจธรรมและหนทางที่จะก้าวไปหาความสุขอย่างแท้จริงของแต่ละคน ทุกคนย่อมมีวิถีทางตามแบบของตัวเอง เพราะความสุขไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน บางคนชอบออกกำลังกายสร้างสุขภาพกายสุขภาพใจให้แข็งแรงก็สุขได้ บางคนสุขด้วยการเข้าวัด ทำบุญสวดภาวนา  ดื่มด่ำในรสพระธรรม มีบ้างบางคนสุขที่ได้ทำสวนปลูกพืชผักรดน้ำพรวนดินใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายไม่วุ่นวาย ได้มีเวลานั่งดูความเจริญงอกงามของแหล่งกำเนิดอากาศบริสุทธิ์ ยังมีผู้ที่เป็นสุขจากการทำคุณประโยชน์ให้กับสังคม อุทิศตนให้สาธารณะกุศล อุทิศตนให้กับประเทศชาติ เป็นทรัพยากรบุคคลที่มีค่า (หาคนดี ๆ ก่อนเลือกตั้งเพื่อความสุขของชาวเราด้วยนะครับช่วงนี้) บางคนสุขยามเกษียณได้มีเวลาเลี้ยงดูแลลูกหลาน นั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ภูมิใจในการเจริญเติบโตของเลือดเนื้อเชื้อไข สุขที่ได้ดูแลครอบครัว ดูแลคนที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา สุขที่ได้ดูแลพ่อแม่ยามแก่ชราทำเพื่อพวกท่านก่อนสายเกินไป สุขใครสุขมัน สุขในสิ่งที่ทำ ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน บางคนแค่เอนกาย มีเพลงเบา ๆ หนังสือสักเล่มเพียงแค่นี้ก็สุขได้แล้ว เราไม่จำเป็นต้องเหมือนใครและเอาอย่างใคร หลายคนสุขเพราะได้ออกไปท่องเที่ยว หาความแปลกใหม่เพื่อไม่ให้ชีวิตจำเจและแปลกแยกกับโลกนี้ไม่ตกยุคสมัย (อันนี้คือสุขส่วนหนึ่งของผู้เขียน) 



วันหนึ่งเราไปอยู่ในที่ ๆ หนึ่ง วันนี้กลับมาอยู่ในที่เดิม ๆ จากท่ามกลางความขาวโพลนและเย็นยะเยือก อยู่ ๆ ก็มาร่วมสูดดมละอองของผงฝุ่น การเดินทางไปยังต่างถิ่นก็เป็นเสมือนการเรียนรู้และสัมผัสกับความแตกต่าง เรียนรู้ความสุขบนความงาม เพื่อนำมาปรุงปรับน้อมรับความเป็นจริงของชีวิต การได้เดินทางไปยังต่างแดนมีบ่อยครั้งหลงทิศหลงทางบ้าง แต่กลับนำมาซึ่งการจดจำที่แม่นยำในทิศทางมากกว่าเดิม ในทุกช่วงของชีวิตทุกทิศทุกที่ทุกเวลาคือการเรียนรู้ เรียนรู้เพื่อจะนำมาซึ่งความสุข เรียนรู้เพื่อให้รู้ตัวตนคนธรรมดาที่มีวันผิดพลาด
เรียนรู้ที่จะเป็นอย่างที่เห็นและไม่ขอเป็นบางอย่างที่ได้สัมผัส เช่น ยามเมื่อเราอยู่ในสังคมคนญี่ปุ่น ประเทศที่ผู้คนมีวินัยสูง จะขึ้นลงรถสาธารณะต้องเข้าคิวต่อแถว เว้นที่นั่งสำหรับผู้สูงอายุ ผู้ป่วย คนท้องแม้จะยังไม่มีคนเหล่านี้อยู่บนรถ ต่อให้แน่นเพียงใด ตรงนั้นก็ยังเว้นว่างไว้เสมอ เรื่องตรงเวลาแม้ในวันที่สถานการณ์เกินควบคุม หิมะตกหนักและหนาทำให้ระบบการเดินรถติดขัดบ้างก็ยังคลาดเคลื่อนเพียงเล็กน้อย นั่งรถราง รถไฟ รถเมล์ สะดวกและเป็นการเดินทางที่ค่อนข้างเที่ยงตรงและปลอดภัยเป็นที่สุด พนักงานขับรถสุภาพบอกชื่อทุกป้าย เตือนให้ระวังในขณะที่รถเคลื่อนตัวออก ขอบคุณทุกครั้งที่ลงรถ พลันเมื่อถึงเมืองหลวงของเรา เดินทางด้วยรถบริการสาธารณะ เจอกับความต่างพนักงานขับรถขับไปคุยโทรศัพท์ (วันหวยออกพอดี) ครั้นพอต่อรถแท็กซี่ก็พบเจอแต่คำบ่นและเรียกร้องตลอดทาง นี่คือสิ่งที่เราควรเลือกว่าถ้าอยากพบความสุขเราจะเลียนแบบอย่างไหนดี ประเทศที่เจริญคนต้องมีคุณภาพ คนต้องมีความสุขในชีวิตประจำวัน


ขอบคุณทุกประสบการณ์ที่ผ่านมา ทำให้คิดว่าสุขอยู่ที่ใด? สุขก็อยู่ที่ใจนี่แหละ รู้ใจได้ก็สุขแล้ว หลายวันมานี้เช่นกันมีโอกาสได้คุยกับเด็ก ๆ ที่เข้าสนามสอบวัดผลที่เรียกว่า“โอเน็ต” บางคนก็บอกว่าวิชานั้นวิชานี้ยาก มีเวลาทบทวนและย้อนหลังความทรงจำ หลายครั้งเราก็มักมีคำถามเหมือนเด็ก ๆ เหล่านี้ว่า เราเรียนไปเพื่ออะไร บางวิชาใช้ในชีวิตจริงได้หรือเปล่า? คำตอบที่เคยให้คือการศึกษาเล่าเรียนคือส่วนหนึ่งของการพัฒนาชีวิต พัฒนาสมอง และพัฒนาความเป็นคน แต่วันนี้เราจะพบว่า ผู้คนในยุคนี้มีการศึกษาที่สูงขึ้น
ทว่าการศึกษานั้นไม่ได้ช่วยให้เกิดความเฉลียวฉลาดในการดำรงชีวิตแต่อย่างใดเลย แถมยิ่งมีการศึกษาสูง ยิ่งมีปัญหามากขึ้น เพราะเกิดความต้องการมากขึ้น ต้องการเงินต้องการความสะดวกสบาย ใครที่สนใจเรื่องหาเงินจะถูกยกย่องว่าเป็นผู้รักความก้าวหน้า ส่วนใครที่สนใจในเรื่องอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับเงินมักถูกตั้งคำถามจากสังคมว่าเป็นคนแปลกแยก  ทุกคนจึงมุ่งเป้าหมายไปที่เงินมากขึ้นทุกวัน เพราะการปลูกฝังค่านิยมที่ผิด ที่มาพร้อมกับการเรียนการศึกษา เราเรียนมาเพื่อทราบว่าจะทำอย่างไรจึงจะหาเงินกอบโกยได้มากที่สุด แต่ไม่ได้เรียนมาเพื่อสร้างสุขให้กับชีวิตเรา ใช่หรือไม่ คนดีคือคนน่ายกย่อง แต่ในชีวิตจริง เรากลับเกรงใจเศรษฐีมากกว่าคนดี 
ยุคสมัยนี้จึงเป็นยุคที่เราใช้การศึกษาเพื่อเพิ่มความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ มากกว่าที่จะใช้การศึกษาเพื่อทำความรู้จักตนเอง และนำมาซึ่งการใช้ชีวิตอย่างสร้างสรรค์ รู้จักแบ่งปัน เสียสละและทำเพื่อผู้อื่นอย่างแท้จริง มีผู้สันทัดกรณีกล่าวไว้ว่า เราเริ่มเห็นอาชีพนักธุรกิจในคราบคุณครู เห็นพ่อค้าในคราบคุณหมอ เห็นโจรในคราบนักการเมือง เห็นหมอผีในคราบนักบวช เห็นนักเลงในคราบนักเรียน เห็นคนขี้โกหกในคราบนักการตลาด มากมายในสังคม เรามีนักทำเป็นเก่งมากมายเกินไปแล้วเรายังขาดนักธรรมที่ดีและลึกซึ้งเรื่องจิตวิญญาณ นั่นแหละเราต้องมาเรียนรู้กับตัวเอง เรียนให้รู้ว่า การกระทำของเราย่อมส่งผลโดยตรงต่อสังคมโดยรอบ อยากให้สังคมเปลี่ยน เราต้องเปลี่ยนตนเองก่อน เริ่มต้นวันนี้ หยุด สำรวจ และตั้งคำถามกับตนเองให้บ่อยครั้งว่า ชีวิตที่ถูกต้องดีงามคืออะไรกันแน่ เราเกิดมาเพื่อสิ่งใด และจะใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อทำสิ่งใด สิ่งที่เรียนมาทั้งภาคบังคับและการเรียนรู้โลก เราพบกับความสุขหรือยัง จึงเรียนมาเพื่อทราบ ด้วยความเคารพ....

ไม่มีความคิดเห็น: