วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2562

ให้เห็นเป็นประจักษ์


ให้เห็นเป็นประจักษ์
ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณวัดเซนต์หลุยส์ที่ได้มอบโอกาสดี ๆ ให้ได้ขีดเขียนบทความลงสารวัดเป็นประจำ เหลียวหลังไปมองผ่านมาร่วม ๆ 20 ปีเข้าไปแล้ว ขอบคุณผู้อ่านผู้ติดตามทุก ๆ ท่าน ขอบคุณที่ให้มีพื้นที่ได้แบ่งปันความคิด ทัศนคติ ผ่านตัวอักษร แม้ว่าบางเรื่องบางบทอาจจะเขียนไปด้วยความรู้สึกส่วนตัวบ้าง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกบทความล้วนมาจากความตั้งใจที่จะแบ่งปัน ที่จะช่วยให้ผู้อ่านผู้ติดตามได้แง่คิด สะกิดให้ช่วยกันสร้างความดีงาม และสำคัญสุดทุกสิ่งที่ขีดเขียนเหมือนได้สอนตัวเอง เตือนตนว่าต้องพยายามทำในสิ่งที่เขียนไว้ให้ได้ด้วย แม้จะไม่มีใครเห็นแต่เราเห็น รู้ด้วยตัวเอง และแน่นอนพระเจ้าย่อมรับรู้ทุกสิ่งที่เราทำเสมอด้วยเช่นกัน...



และแล้ววันหยุดพักผ่อนช่วงรอยต่อปีก็ผ่านพ้นไป เริ่มต้นสู่ปีใหม่กับภารกิจเดิม ๆ เพิ่มเติมด้วยข้อตั้งใจใหม่เพื่อให้ชีวิตดีขึ้น อะไรที่ตั้งมั่นตั้งเป้าหมายไว้อย่าได้ลืมเลือนเตือนตนบ่อย ๆ อย่าได้คล้อยไปกับนิสัยประจำ ยิ่งหากเรามีความรู้สึกว่านับวันเรายิ่งเห็นวันเวลาผ่านไปเร็ว และรู้สึกเฉย ๆ กับทุกช่วงเทศกาล เรายิ่งต้องตระหนักว่า เวลาเราก็ลดน้อยลงไปทุกที ๆ ต้องรู้จักที่จะทำตัวให้อ่อนน้อมยอมรับต่อสิ่งรอบ ๆ ตัว อย่าพยายามหาเหตุและผลแอบอ้างเข้าข้างตัวเองให้มากนัก ฟังคนอื่น รับคำเตือน นิ่งและพิจารณาความเหมาะความควร เพื่อให้ชีวิตที่เหลือน้อยลงมีคุณค่าคู่ควรให้ผู้คนได้จดจำ ทำความดีเพื่อส่วนรวม เคารพต่อทุกสิ่งสร้าง เราจะได้ไม่เป็นผู้อ้างว้างในวันข้างหน้า 
ในช่วงเวลาที่ผ่านมาความสุขเล็ก ๆ ได้บังเกิดขึ้นในครอบครัว ที่เราต่างมีวันเวลาร่วมกัน ได้ทำกิจกรรมหลายสิ่งหลายอย่าง ร่วมเดินทาง ร่วมพักผ่อน ร่วมสร้างเสียงหัวเราะ ร่วมกันรำลึกถึงเหตุการณ์อันน่าประทับใจในวันวาน ในยุคสมัยที่เราต่างแยกย้ายไปทำมาหากิน สร้างถิ่นสร้างฐานในที่ใหม่ ๆ จะมีสักกี่ครั้งกันเชียวที่ได้มีโอกาสอยู่ด้วยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา หรือบางทีเราก็รู้สึกว่าการอยู่ด้วยกันนานเกินไปก็น่าเบื่อหน่าย ไม่รู้จะพูดจะคุยอะไรกัน เราจึงต้องมีเวลาเดินทางไปเปลี่ยนสถานที่ ทำอะไรใหม่ ๆ ด้วยกันบ้าง จะได้มีเรื่องใหม่ ๆ คุยกัน แบ่งปันกันอีกสักเดือนสองเดือน 



ความสุขที่เรามีนั้นยังได้รับการถ่ายทอดให้กับคนอื่นได้รับรู้ และเช่นเดียวกันเราก็ได้รับรู้และชื่นชมกับหลายครอบครัวที่มีความสุขสนุกสนานด้วยกันผ่านช่วงวันเวลานี้ ในด้านหนึ่งเราต่างก็เป็นบทเรียนบทสอนเป็นประจักษ์พยานให้เห็นถึงความรัก ความเอื้ออาทรต่อกันตามแบบฉบับสังคมไทย ที่ให้ความสำคัญกับครอบครัวเป็นอันดับแรก ๆ และวัฒนธรรมเช่นนี้เราต้องร่วมกันเสริมสร้างให้คงอยู่ต่อไป การเอาใจใส่กันต่อทุกคนในครอบครัว ต่อญาติพี่น้อง จะช่วยให้เรามีชีวิตรอดพ้นจากความเปลี่ยนแปลงวันข้างหน้า อย่าละเลยต่อกันในเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ รับฟังรับคำเตือนด้วยใจสุภาพ เพราะพ่อแม่พี่น้องย่อมหวังดีต่อเราเสมอ หากเรามีบุคลิกแบบนี้เราจะตั้งตนอยู่บนความไม่ประมาท รู้รับฟัง รู้รับมาพิจารณาและไตร่ตรอง แล้วทุกคนจะเห็นความดีงามของเราโดยไม่จำเป็นต้องไปป่าวประกาศหรือโอ้อวดให้โลกรู้
มีแม่ทัพผู้หนึ่งรีบเร่งเดินทางจะไปทำศึกที่เมืองหลวง แต่หนทางไกลมาก ยังไปไม่ถึงไหนก็มืดค่ำลงจึงต้องหยุดพักค้างคืนที่โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง เมื่อได้ห้องพักแล้ว    แม่ทัพคนนั้นก็เข้านอนพักผ่อน ปล่อยให้เจ้าของโรงเตี๊ยมดูแลม้า หาหญ้า หาน้ำให้กิน  แล้วก็ให้จูงม้าไปพักยังคอกม้าของโรงเตี๊ยม
ระหว่างนั้น   เจ้าของโรงเตี๊ยมสังเกตเห็นม้าเดินขากะเผลกอยู่ข้างหนึ่ง จึงยกเท้าม้าขึ้นมาดูเห็นตะปูเกือกม้าหลุดหายไปหนึ่งตัว ทำให้เกือกม้ารูปตัวยูติดไม่สนิทกับเท้าของม้า    หากไม่เสริมตะปูแทนตัวที่หลุดหายไป  เกือกม้าข้างนั้นอาจเสียหลักล้ม เจ้าของม้าที่ขี่อยู่บนหลังม้าก็จะได้รับอันตรายได้
เช้าวันรุ่งขึ้นเจ้าของโรงเตี๊ยมจึงบอกเรื่องให้แก่แม่ทัพผู้นั้นทราบ แต่แม่ทัพไม่ใส่ใจ เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้นแค่ตะปูเพียงตัวเดียวเท่านั้นเองที่หลุดไป    ยังมีอีกหลายตัวที่ยังอยู่ และหากมัวแต่ซ่อมแซม ก็จะทำให้เสียเวลาไปไม่ทันการณ์    จึงกระโดดขึ้นหลังม้าและรีบเร่งเดินทางต่อไป
เมื่อถึงเมืองหลวง  ก็ได้รับคำสั่งให้ออกรบทันที แม่ทัพผู้นี้มีฝีมือในการรบ  สามารถที่จะรุกไล่แม่ทัพฝ่ายข้าศึกจนเสียที และรีบชักม้าจะหนีเข้าค่ายตนเองแม่ทัพเห็นดังนั้นก็ได้ที จึงเร่งควบม้าตามไปติด ๆ หวังจะจับตัวให้ได้ แต่การเร่งฝีเท้าม้าอย่างเต็มที่ ทำให้ตะปูเกือกม้าตัวอื่นๆ ขยับออกและเกือกม้าข้างนั้นก็หลุดกระเด็นไปในที่สุด ม้าที่ควบมาก็เสียหลักล้มลง   แม่ทัพกระเด็นตกจากหลังม้าจนขาหัก   และสุดท้ายก็ถูกแม่ทัพของฝ่ายตรงข้ามจับตัวไปได้และในตอนนั้นเอง แม่ทัพจึงนึกถึงคำเตือนของเจ้าของโรงเตี๊ยม แล้วรำพึงกับตนเองว่า “เราเป็นแม่ทัพที่พ่ายแพ้แก่ศัตรูเพราะตะปูเพียงตัวเดียวแท้ ๆ ” (เรื่องเล่าจาก #เรื่องดี ๆ มีข้อคิด



            ในวันที่เราต่างก็แข็งแกร่งทางข้อมูลข่าวสาร จนกลายเป็นความเก่งกร้าว ต่างไม่ยอมรับต่อความคิดของคนอื่น อันตรายจึงเกิดขึ้น ต่อให้เก่งสักเพียงใดถ้าไม่ฟังใครก็ต้องพบจุดจบแบบแม่ทัพคนนี้ ใช่หรือไม่ บางทีการเป็นประจักษ์พยานที่สำคัญที่สุดหยุดอยู่ตรงความอ่อนน้อม ที่รับฟังทุกความคิดเห็น แล้วนำไปประยุกต์ใช้ ความคิดเห็นของคนใกล้ชิดมีค่าเสมอโปรดอย่าได้ละเลย แม้ว่าเขาอาจจะเป็นแค่ลูกแค่หลาน แค่เด็กเมื่อวานซืน

ไม่มีความคิดเห็น: