กำลังภายใน
จำได้ว่าในสมัยวัยเรียนชั้นมัธยมปลายมีหน้าที่หนึ่งคือการไปเช่าวิดีโอมาให้เพื่อน
ๆ น้อง ๆ ได้ดูร่วมกันในทุกค่ำคืนวันศุกร์
และด้วยความชอบส่วนตัวจึงเช่าภาพยนตร์จีนกำลังภายในมาดูเป็นประจำ
โดยทั่วไปเนื้อเรื่องก็จะคล้าย ๆ กัน คือพระเอกจะถูกรังแก ถูกเอาเปรียบ
และไม่ใช่คนเก่ง
แต่มักเป็นคนจิตใจดีงามชอบช่วยเหลือผู้อื่น จนในที่สุดด้วยความดีความเพียรทน
พระเอกก็จะได้พบเจอกับอาจารย์ที่เก่งกล้าสอนวิชาให้ เคล็ดลับของวิชาส่วนใหญ่คือการฝึกกำลังภายใน
มีความนิ่งมีความสงบ พร้อมรับมือกับทุกความเคลื่อนไหวที่มาทำร้าย
ต้องฝึกฝนอย่างหนักทั้งทางร่างกายและจิตใจ ตราบจนเป็นที่พอใจของพระอาจารย์ จึงให้กลับมาทำการชำระสะสางคนอันธพาลให้สิ้นซาก
เสร็จแล้วก็จากมาอย่าได้รับตำแหน่ง คำสรรเสริญใด ๆ ตอนนั้นที่ดูก็เพราะความสนุกสนานในการต่อสู้
แต่ครั้นเมื่อมานึกย้อนหลังกลับไป จะเห็นภาพชัดว่า ยามใดที่เรามีจิตใจที่มั่นคง
เราก็ทำงานได้อย่างบรรลุเป้าหมาย มีสติปัญญา ไหวพริบในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เสมอ
ท่ามกลางความวุ่นวายสาละวนของผู้คนในทุกวันนี้
ทำให้กำลังภายในของแต่ละคนอ่อนล้าลงเมื่อจิตใจอ่อนแอ การถูกครอบงำด้วยสิ่งภายนอกก็ย่อมเกิดขึ้นอย่างง่ายดาย
ต่อให้มีกฎหมาย กฎบ้านกฎเมืองเท่าใดหากผู้คนไม่ปฏิบัติตามด้วยหัวใจด้วยจิตใจก็ไร้ความหมาย
ถ้าผู้คนมีชีวิตภายในที่เข้มแข็ง มีจิตใจที่มั่นคง กฎต่าง ๆ นั้นก็ไร้ความจำเป็น
เพราะคุณค่านั้นเกิดขึ้นในตัวผู้คนแล้ว ใช่หรือไม่ จิตใจของเราวันนี้กลับถอยห่างจากคุณค่าลงไปทุกที
ๆ เราปล่อยให้ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น อยากเด่นอยากดังเข้ามามีบทบาทในชีวิต
กำลังภายในเราไม่ได้รับการฝึกฝน มันจึงทำให้เราสับสน ยึดเอากฎภายนอกเป็นหลักชัย
ละเลยกฎภายใน
เท่านั้นยังไม่พอเรายังนำกฎภายนอกมาเป็นข้อยกเว้นและข้ออ้างเพื่อจะได้หลีกเลี่ยงกฎแห่งใจไปเสียอย่างนั้น
ในยามค่ำคืน ผัวเมียสูงวัยนั่งคุยกันอยู่ในกระต๊อบที่ทรุดโทรม
“การทำตามคำสอนของพระเจ้า
ก็คงมีแต่พวกคนรวยเท่านั้นที่ทำได้
ใครที่มีชีวิตอยู่เย็นเป็นสุขอยู่แล้ว คงไม่ไปทำอะไรผิดกฎตามที่พระเจ้าห้ามไว้”
บังเอิญพระเจ้าได้ยินคำสนทนาเหล่านี้จึงส่งเทวดาลงมาองค์หนึ่ง นำพาทั้งคู่ไปอยู่ในคฤหาสน์สุดหรู
เทวดาบอกทั้งสองว่า
“จงอยู่ที่นี่ให้สุขสบายที่สุดตามคำอนุญาตของพระเจ้า
อาหารข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างมีให้พร้อมแต่มีข้อแม้อยู่ข้อเดียว”
เทวดาชี้ไปที่ชามธรรมดา ๆ ที่มีฝาปิดอยู่ใบหนึ่งบนโต๊ะ
แล้วบอกว่า
“ไม่ว่าเวลาไหนไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น
ห้ามเปิดฝาของชามใบนี้ออกเด็ดขาด มิเช่นนั้น พวกเจ้าก็จะถูกส่งกลับไปอยู่กระต๊อบเหมือนเดิม”
ทั้งสองยิ้มรับอย่างมีความสุข มีเรื่องดี ๆ แบบนี้เกิดขึ้นกับชีวิตคงมีแต่ไอ้โง่เท่านั้นที่จะไปสนใจชามใบนั้น
ชีวิตที่แสนสุขดำเนินไปอย่างราบรื่น
ไม่มีใครไปสนใจชามใบนั้นแน่นอน แต่ความสุขที่มากล้น สุดท้ายก็จะกลายเป็นเรื่องความเคยชิน
จนอาจกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ นานวันเข้า ทั้งสองคุ้นเคยกับทุกสิ่งทุกอย่างทุกซอกทุกมุมในบ้านยกเว้นชามใบนั้นที่ยังไม่เคยแตะต้อง
พวกเขาเริ่มเกิดความอยากรู้อยากเห็นว่า แท้จริงแล้วมีความลับอะไรซ่อนอยู่ในชามใบนั้น
ความรู้สึกมันเพิ่มดีกรี ความอยากรู้อยากเห็นขึ้นทุกวัน ในที่สุด วันนั้นก็มาถึง
เมื่อลุงตะโกนออกมาด้วยความอึดอัดว่า
“ไม่ไหวแล้ว
หากไม่เปิดฝาออกดู เราต้องบ้าแน่ ๆ พระเจ้าให้เราเยอะแยะขนาดนี้แล้ว
จะมาสนใจอะไรกับแค่ชามใบนี้ใบเดียว”
ว่าแล้ว ลุงก็เปิดฝาออกทันที สิ่งที่ปรากฏคือ ไม่มีอะไรอยู่ในชาม
และแล้วเทวดาก็ปรากฏตัวขึ้น
“พวกท่านมีความสุขสบายความร่ำรวยที่โหยหามาตลอดชีวิต
แต่ก็ยังปล่อยวางกับชามธรรมดา ๆใบนึงไม่ได้ เห็นไหมว่ากิเลสตัณหากับฐานะความรวยจนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกัน
พวกเจ้าจงกลับไปอยู่กระต๊อบเหมือนเดิม กลับไปรับเคราะห์กรรมที่ตัวเองสร้างไว้” (บทความ:ขจรศักดิ์)
เราแสวงหาสิ่งภายนอกกันมามากแล้ว
ปิดฝาชามความว่างเปล่าลงบ้าง ปล่อยวาง และกลับมาฝึกฝนกำลังภายใน สร้างชีวิตจิต ให้เข้มแข็ง
เพื่อรับมือกับสิ่งที่กำลังจะเกิดในวันข้างหน้า กระแสความเปลี่ยนที่รวดเร็ว
และการเติบโตของการพัฒนา อาจจะพัดพาผู้คนที่ไม่เข้มแข็งให้ล้มหายจากไปอย่างไร้คุณค่า
การฝึกฝนกำลังภายในฉบับง่าย ๆ คือ การรู้จักอยู่กับตัวตน สวดภาวนา รำพึงก่อนเข้านอนว่า
“วันนี้เราได้ทำความดีงามอะไรให้กับโลกใบนี้บ้าง
ทำให้ผู้คนคนใดทุกข์เศร้าเพิ่มขึ้นบ้างไหม? สวดขอกำลังจากพระเจ้าเพื่อวันรุ่ง
เราจะได้สร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามให้มากขึ้น ลดการเบียดเบียนผู้อื่นให้น้อยลง”
ฝึกฝนวันละนิดติดเป็นนิสัยแล้วเราจะมีกำลังภายในที่มั่นคงแข็งแรงตลอดไป