ถิ่นนี้มีความมหัศจรรย์
ถึงแม้ว่าสมัยใหม่เราจะมีความสะดวกสบายมากขึ้นในการเดินทาง แต่บางทีเดินทางนานครึ่งค่อนวัน เราก็เริ่มรู้สึกหงุดหงิด
คิดในใจว่าเมื่อไรจะถึงเป้าหมายเสียที แล้วคนในสมัยก่อนเล่า เขาเดินทางกันได้อย่างไร?
หนทางที่ไกลแสนไกลเช่นนี้ แน่นอน หลายครั้งเราก็มักเอาความรู้สึก เอามาตรฐาน
เอาบริบทของเราไปวางวัดคนอื่นในสมัยอื่น คนในสมัยรุ่นราวเก่าก่อนมิได้รีบร้อนเร่งรัดอะไรปานนี้เหมือนสมัยเรากระมัง…สิ่งที่จะช่วยให้เราพอที่จะละวางระหว่างทางได้คือภาพวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้คนในต่างบ้านต่างเมืองตามข้างทาง
ตุรกีเป็นประเทศที่หลายส่วนหลายพื้นที่อุดมสมบูรณ์ปลูกผลไม้ได้ผลเป็นอย่างดี
โดยเฉพาะทับทิม ที่นำมาทำเป็นชา นำมาทำเป็นขนม กลายเป็นสินค้าขึ้นชื่อของประเทศนี้เลยทีเดียว
ในช่วงเดินทางที่ยาวนานต้องมีการพักระหว่างทาง
สิ่งที่เห็นและน่าจดจำอีกอย่างหนึ่งก็คือ พอรถจอดทุกคนลงจากรถหมดแล้ว
จะมีคนมาล้างรถทันที แล้วล้างกันอย่างจริง ๆ จัง ๆ รถบัสที่นำคณะของพวกเรานั้นกระจกจึงใสอยู่เสมอ
เท่านั้นยังไม่เท่าไร
ปามุคคาเล่ เป็นภาษาตุรกี
หมายถึง ปราสาทปุยฝ้าย
ตั้งชื่อตามลักษณะภูมิศาสตร์
ซึ่งเกิดจากปรากฏการณ์ที่ตะกอนของหินปูนทำปฏิกิริยากับอากาศ จับตัวแข็งกลายเป็นแอ่ง และมีธารน้ำแร่ใต้ดินไหลเอ่อล้นผุดขึ้นมาบนพื้นผิว
รวมเป็นแอ่งน้ำหินปูนที่ลดหลั่นกัน กว้าง 300 เมตร ยาวกว่า 3 กิโลเมตร
ก่อนไหลลงจากผาสูง 100 เมตร จากระดับน้ำทะเล ยูเนสโก้จัดให้เป็นมรดกโลกด้วย
ภูเขานี้มีน้ำพุเกลือแร่ร้อนไหลลงมา น้ำแร่ร้อนสายนี้มีส่วนผสมของแคลเซียมอ๊อกไซด์ซึ่งมีอุณหภูมิประมาณ
35 เซลเซียส
และผลจากการแข็งตัวของแคลเซียมทำให้เกิดเป็นแก่งหินสีขาวราวหิมะขวางทางน้ำเป็นทางยาว
นับเป็นมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่งดงามยิ่งนัก
เวลาที่ได้เดินชื่นชมความสวยงามของธรรมชาติในที่แห่งนี้ ทำให้ลืมความเมื่อยล้าลงไปได้มากทีเดียว
หลายคนลงไปแช่เท้าในแอ่งน้ำแร่ ที่ตอนแรกคิดว่าจะหนาวเย็นตามสภาพอากาศ
แต่ที่ไหนได้ พอได้แช่เท้า น้ำแร่นั้นกลับอุ่น ช่วยผ่อนคลายได้
บนภูเขาขาวแห่งนี้มีระดับแอ่งน้ำอยู่หลายชั้น ถ้าในช่วงเวลาที่มีน้ำมาก
เราจะเห็นการไหลหลั่งไล่ระดับของน้ำตามโขดชั้นผาหินขาว น้ำในอ่างแอ่งเป็นสีเขียวมรกต
ใกล้ ๆ เป็นเมืองเก่าที่ชื่อว่า
“ฮีเอราโปลิส” สร้างขึ้นเมื่อประมาณ 190 ปี ก่อนคริสตกาล
เดิมเป็นเมืองของชาวกรีก
ต่อมาได้กลายเป็นเมืองสปาและศูนย์กลางการรักษาโรคของชาวโรมัน
หลังจากที่มีการค้นพบน้ำแร่ร้อนที่ไหลลงมาจากภูเขา
เราได้แต่เห็นซากปรักหักพังของเมือง แต่ไม่มีเวลามากพอที่จะเข้าไปชมภายใน
หากแต่ว่าโรงแรมที่พักได้จัดให้มีการแช่น้ำแร่ไว้ให้ ถือว่าได้ทำสปา
น้ำแร่อุ่นถึงร้อน ทำให้ร่างกายผ่อนคลายก็จริง
แต่แช่นานไปก็ทำให้เพลียได้เหมือนกัน
จากข้อมูลเมื่อใดที่มาปามุคคาเล่ให้รู้ได้เลยว่า
เรากำลังมาเยือนเมือง “โคโลสี” และ “ฮีเอราโปลิส” ที่มีอยู่ในหนังสือพระคัมภีร์กิจการอัครสาวกในจดหมายนักบุญเปาโลถึงชาวโคโลสี
(4:13)
ท่านเขียนถึงชาวเมืองฮีเอราโปลิสด้วยสภาพเมืองโคโลสีและฮีเอราโปลิสในปัจจุบัน
ต้องบอกว่าเหลือแต่ “ซาก” ซึ่งแตกต่างจากเอเฟซุสเป็นอย่างมาก
เอเฟซุสยังเป็นซากโบราณสถานแบบยิ่งใหญ่
แต่โคโลสีและฮีเอราโปลิสเหลือแค่นิดเดียวเท่านั้นเอง เพราะที่นี่เคยเกิดแผ่นไหวครั้งใหญ่
เมืองที่เคยรุ่งเรืองเฟื่องฟูพังทลายเหลือเพียงเสาและเศษซาก
สิ่งที่น่าอัศจรรย์ที่เคยยิ่งใหญ่ปราสาท เมือง ถูกธรรมชาติทำลาย แต่ธรรมชาติกลับสร้างปราสาทที่สวยงามมาทดแทน
นี่แหละความเป็นมนุษย์ของเรามิอาจจะหยั่งรู้ถึงพระราชกิจแห่งการสร้างได้เลย
การมายังแดนดินถิ่นนี้ทำให้เห็นถึงความอัศจรรย์ตา
ที่เห็นเมืองโบราณที่มนุษย์สร้างขึ้น เห็นธรรมชาติที่สวยงามและซับซ้อน ที่พระเจ้าเนรมิตรขึ้นมา
ที่สุดคือเกิดอัศจรรย์ใจที่มีต่อนักบุญเปาโลและสาวกผู้ที่มีความเชื่อความศรัทธา
ออกมาเผยแพร่พระธรรมความดีให้ผู้คนเป็นจำนวนมากได้เห็นถึงความรักของพระคริสตเจ้า
ในแผ่นดินที่กว้างใหญ่ ในแผ่นดินที่เต็มไปด้วยอำนาจ และความเชื่อที่แตกต่าง
แม้ไม่ได้อยู่เคียงข้างกับพระเยซูเจ้าเหมือนดังอัครสาวกคนอื่น
แต่เมื่ออัศจรรย์เกิดกับท่าน
นักบุญเปาโลจึงทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อให้ทุกผู้คนได้รู้จัก “ความรัก” ในรูปแบบใหม่
และนี่จึงกลายเป็นความสากลที่คนทั้งโลกได้รู้จัก ใช่หรือไม่ ระหว่างอัศจรรย์ตากับอัศจรรย์ใจ
ความยิ่งใหญ่และน่าจดจำแตกต่างกัน แล้วในวันนี้เราได้ทำให้คนข้าง ๆ เรา
พบกับอัศจรรย์แบบใดบ้าง……
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น