วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

ถิ่นนี้มีความมหัศจรรย์

ถิ่นนี้มีความมหัศจรรย์
ถึงแม้ว่าสมัยใหม่เราจะมีความสะดวกสบายมากขึ้นในการเดินทาง แต่บางทีเดินทางนานครึ่งค่อนวัน เราก็เริ่มรู้สึกหงุดหงิด คิดในใจว่าเมื่อไรจะถึงเป้าหมายเสียที แล้วคนในสมัยก่อนเล่า เขาเดินทางกันได้อย่างไร? หนทางที่ไกลแสนไกลเช่นนี้ แน่นอน หลายครั้งเราก็มักเอาความรู้สึก เอามาตรฐาน เอาบริบทของเราไปวางวัดคนอื่นในสมัยอื่น คนในสมัยรุ่นราวเก่าก่อนมิได้รีบร้อนเร่งรัดอะไรปานนี้เหมือนสมัยเรากระมังสิ่งที่จะช่วยให้เราพอที่จะละวางระหว่างทางได้คือภาพวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของผู้คนในต่างบ้านต่างเมืองตามข้างทาง ตุรกีเป็นประเทศที่หลายส่วนหลายพื้นที่อุดมสมบูรณ์ปลูกผลไม้ได้ผลเป็นอย่างดี โดยเฉพาะทับทิม ที่นำมาทำเป็นชา นำมาทำเป็นขนม กลายเป็นสินค้าขึ้นชื่อของประเทศนี้เลยทีเดียว  

ในช่วงเดินทางที่ยาวนานต้องมีการพักระหว่างทาง สิ่งที่เห็นและน่าจดจำอีกอย่างหนึ่งก็คือ พอรถจอดทุกคนลงจากรถหมดแล้ว จะมีคนมาล้างรถทันที แล้วล้างกันอย่างจริง ๆ จัง ๆ รถบัสที่นำคณะของพวกเรานั้นกระจกจึงใสอยู่เสมอ เท่านั้นยังไม่เท่าไร

ถ้าไปจอดในที่ไม่มีคนมาบริการล้าง คนขับก็จัดการล้าง เช็ดถูเอง นี่ดูคล้ายกับว่าเป็นวัฒนธรรมอันน่าประทับใจ และเนื่องจากตุรกีเป็นประเทศที่คนส่วนมากนับถืออิสลาม เราจึงแทบไม่ได้เห็นโบสถ์คาทอลิกเลย แต่สิ่งที่อัศจรรย์คือ ดินแดนแถวนี้คือต้นกำเนิดการแพร่ธรรมของบรรดาอัครสาวก และความรุ่งเรืองของอารยะธรรมต่าง ๆ ก็อยู่ในบริเวณแถบนี้ นอกจากนี้ที่นี่ยังมีความมหัศจรรย์ของธรรมชาติหลากหลาย ก่อนมาเยือนได้อ่านในคู่มือท่องเที่ยวว่า คณะเราจะได้มายังปราสาทปุยฝ้าย ก็จินตนาการถึงสิ่งสร้างโบราณที่มีสีขาวทั้งหมด แต่ครั้นเมื่อมาถึง เทือกเขาข้างหน้าที่ขาวโพนนั้นมิใช่หิมะ แต่นี่คือสิ่งสร้างจากธรรมชาติ

ปามุคคาเล่ เป็นภาษาตุรกี หมายถึง ปราสาทปุยฝ้าย ตั้งชื่อตามลักษณะภูมิศาสตร์ ซึ่งเกิดจากปรากฏการณ์ที่ตะกอนของหินปูนทำปฏิกิริยากับอากาศ จับตัวแข็งกลายเป็นแอ่ง และมีธารน้ำแร่ใต้ดินไหลเอ่อล้นผุดขึ้นมาบนพื้นผิว รวมเป็นแอ่งน้ำหินปูนที่ลดหลั่นกัน กว้าง 300 เมตร ยาวกว่า 3 กิโลเมตร ก่อนไหลลงจากผาสูง 100 เมตร จากระดับน้ำทะเล ยูเนสโก้จัดให้เป็นมรดกโลกด้วย ภูเขานี้มีน้ำพุเกลือแร่ร้อนไหลลงมา น้ำแร่ร้อนสายนี้มีส่วนผสมของแคลเซียมอ๊อกไซด์ซึ่งมีอุณหภูมิประมาณ 35 เซลเซียส และผลจากการแข็งตัวของแคลเซียมทำให้เกิดเป็นแก่งหินสีขาวราวหิมะขวางทางน้ำเป็นทางยาว
นับเป็นมหัศจรรย์ทางธรรมชาติที่งดงามยิ่งนัก เวลาที่ได้เดินชื่นชมความสวยงามของธรรมชาติในที่แห่งนี้ ทำให้ลืมความเมื่อยล้าลงไปได้มากทีเดียว หลายคนลงไปแช่เท้าในแอ่งน้ำแร่ ที่ตอนแรกคิดว่าจะหนาวเย็นตามสภาพอากาศ แต่ที่ไหนได้ พอได้แช่เท้า น้ำแร่นั้นกลับอุ่น ช่วยผ่อนคลายได้ บนภูเขาขาวแห่งนี้มีระดับแอ่งน้ำอยู่หลายชั้น ถ้าในช่วงเวลาที่มีน้ำมาก เราจะเห็นการไหลหลั่งไล่ระดับของน้ำตามโขดชั้นผาหินขาว น้ำในอ่างแอ่งเป็นสีเขียวมรกต 


ใกล้ ๆ เป็นเมืองเก่าที่ชื่อว่า ฮีเอราโปลิส สร้างขึ้นเมื่อประมาณ 190 ปี ก่อนคริสตกาล เดิมเป็นเมืองของชาวกรีก ต่อมาได้กลายเป็นเมืองสปาและศูนย์กลางการรักษาโรคของชาวโรมัน หลังจากที่มีการค้นพบน้ำแร่ร้อนที่ไหลลงมาจากภูเขา เราได้แต่เห็นซากปรักหักพังของเมือง แต่ไม่มีเวลามากพอที่จะเข้าไปชมภายใน หากแต่ว่าโรงแรมที่พักได้จัดให้มีการแช่น้ำแร่ไว้ให้ ถือว่าได้ทำสปา น้ำแร่อุ่นถึงร้อน ทำให้ร่างกายผ่อนคลายก็จริง แต่แช่นานไปก็ทำให้เพลียได้เหมือนกัน


จากข้อมูลเมื่อใดที่มาปามุคคาเล่ให้รู้ได้เลยว่า เรากำลังมาเยือนเมือง “โคโลสี” และ “ฮีเอราโปลิส” ที่มีอยู่ในหนังสือพระคัมภีร์กิจการอัครสาวกในจดหมายนักบุญเปาโลถึงชาวโคโลสี (4:13) ท่านเขียนถึงชาวเมืองฮีเอราโปลิสด้วยสภาพเมืองโคโลสีและฮีเอราโปลิสในปัจจุบัน ต้องบอกว่าเหลือแต่ “ซาก” ซึ่งแตกต่างจากเอเฟซุสเป็นอย่างมาก เอเฟซุสยังเป็นซากโบราณสถานแบบยิ่งใหญ่ แต่โคโลสีและฮีเอราโปลิสเหลือแค่นิดเดียวเท่านั้นเอง เพราะที่นี่เคยเกิดแผ่นไหวครั้งใหญ่ เมืองที่เคยรุ่งเรืองเฟื่องฟูพังทลายเหลือเพียงเสาและเศษซาก สิ่งที่น่าอัศจรรย์ที่เคยยิ่งใหญ่ปราสาท เมือง ถูกธรรมชาติทำลาย แต่ธรรมชาติกลับสร้างปราสาทที่สวยงามมาทดแทน นี่แหละความเป็นมนุษย์ของเรามิอาจจะหยั่งรู้ถึงพระราชกิจแห่งการสร้างได้เลย



                การมายังแดนดินถิ่นนี้ทำให้เห็นถึงความอัศจรรย์ตา ที่เห็นเมืองโบราณที่มนุษย์สร้างขึ้น เห็นธรรมชาติที่สวยงามและซับซ้อน ที่พระเจ้าเนรมิตรขึ้นมา ที่สุดคือเกิดอัศจรรย์ใจที่มีต่อนักบุญเปาโลและสาวกผู้ที่มีความเชื่อความศรัทธา ออกมาเผยแพร่พระธรรมความดีให้ผู้คนเป็นจำนวนมากได้เห็นถึงความรักของพระคริสตเจ้า ในแผ่นดินที่กว้างใหญ่ ในแผ่นดินที่เต็มไปด้วยอำนาจ และความเชื่อที่แตกต่าง แม้ไม่ได้อยู่เคียงข้างกับพระเยซูเจ้าเหมือนดังอัครสาวกคนอื่น แต่เมื่ออัศจรรย์เกิดกับท่าน นักบุญเปาโลจึงทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อให้ทุกผู้คนได้รู้จัก ความรัก ในรูปแบบใหม่ และนี่จึงกลายเป็นความสากลที่คนทั้งโลกได้รู้จัก ใช่หรือไม่ ระหว่างอัศจรรย์ตากับอัศจรรย์ใจ ความยิ่งใหญ่และน่าจดจำแตกต่างกัน แล้วในวันนี้เราได้ทำให้คนข้าง ๆ เรา พบกับอัศจรรย์แบบใดบ้าง……

ไม่มีความคิดเห็น: