ชาวเราหลบมาพึ่งถ้ำ
สิ่งที่ทุกคนคาดหวังมักจะผิดหวัง เป็นความจริงแท้ และเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเสมอ
ๆ เฉกเช่นกับคณะท่องเที่ยวของเราในครั้งนี้ ที่ทุกคนต่างตั้งอกตั้งใจรอคอยด้วยความหวังว่าจะขึ้นบอลลูนเพื่อชมเมืองคัปปาโดเกีย
แต่แล้วระหว่างทางไปยังเมืองนี้ไกด์ท้องถิ่นก็แจ้งว่า รัฐบาลประกาศว่าพรุ่งนี้ (วันกำหนดเวลาที่เราแจ้งไป)
สภาพอากาศทิศทางลมไม่เอื้ออำนวยในการนำบอลลูนขึ้น
กิจกรรมการท่องเที่ยวนี้รัฐบาลเป็นผู้จัดการแต่เพียงผู้เดียว เพื่อความปลอดภัย
ฉะนั้นเมื่อมีประกาศแบบนี้ทุกสิ่งย่อมต้องเป็นไปตามนั้น และเพื่อไม่ให้การท่องเทียวที่นี่เงียบเหงาเกินไป
จึงมีโปรแกรมเสริมเพิ่มเติมมาให้ คือ การนั่งรถวิบากขึ้นเขา
เยี่ยมชมถ้ำที่ผู้คนในสมัยก่อนใช้เป็นที่พักหลบภัย รถแต่ละคันเตรียมพร้อม
โดยมีเสียงเพลงดังลั่นเปิดปลุกให้ใจคึกคักในยามเช้า
แล้วเมื่อรถออกตัวเท่านั้นแหละความวิบากก็เกิดขึ้น
อาหารเช้าที่เพิ่งทานอิ่มถูกกระแทกย่อยสลายโดยพลัน ทางธรรมดาว่าขับลำบากแล้ว เหล่าบรรดานักขับยังขับปีนป่ายขึ้นเนินให้รถตะแคง
จวบจนมาถึงจุดชมวิว ภาพข้างหน้าลบล้างความเสียวไส้ให้มลายหายไป
คัปปาโดเกีย คือเมืองมรดกโลก
สภาพภูมิศาสตร์ของเมืองนี้เต็มไปด้วยถ้ำที่เกิดจากเถ้าลาวาของภูเขาไฟที่ปะทุเมื่อหลายล้านปีก่อนคริสตกาลและเกิดการทับถมเป็นแผ่นดินชั้นใหม่ขึ้นมา
ถูกกระแสน้ำ แดด ลม ฝน หิมะ กัดเซาะกร่อน แผ่นดินนี้นับแสนล้านปี
กลายเป็นภูมิประเทศที่มีรูปร่างประหลาดแปลกตาน่าพิศวง เป็นรูปทรงแท่ง กรวยคว่ำ ปล่อง
กระโจม โดม ดูประหนึ่งดินแดนในเทพนิยาย ชนพื้นเมืองเรียกว่า ปล่องไฟนางฟ้า
ที่สำคัญ เมืองนี้มีความสำคัญกับคริสตศาสนาและนักบุญเปาโลเป็นอย่างมาก นี่เป็นเมืองที่นักบุญเปาโลหนีมาหลบภัยในถ้ำใต้ดินหลังถูกเนรเทศออกจากกรุงเยรูซาเล็ม
ขณะเดียวกัน คัปปาโดเกียยังเป็นเมืองแรก ๆ ที่นักบุญเปาโลก่อตั้งกลุ่มคริสตชนขึ้นด้วย เราจะพบเห็นเมืองนี้ได้ในหนังสือกิจการอัครสาวก
(2:9)
พูดถึงถ้ำที่นักบุญเปาโลหนีมาหลบภัย
ถ้ำนี้เป็นถ้ำใต้ดินลึกลงไปประมาณ 85 เมตร (มีทั้งหมด 11 ชั้น) ซึ่งต่อมา
คริสตชนกลุ่มแรกที่นักบุญเปาโลตั้งขึ้น ได้ใช้ที่นี่เป็นฐานหลบภัยเวลาพวกโรมันมาเข่นฆ่า
ภายในถ้ำ มีทุกสิ่งที่จำเป็นต่อการดำเนินชีวิตทั้งกายและจิตวิญญาณ พูดถึงฝ่ายกาย
ที่นี่มีห้องนอน (แต่ไม่ได้นอนแบบดีๆนะครับ เป็นการนอนแบบหลบภัย) นอกจากนี้
ยังมีห้องครัว ห้องเก็บอาหาร ห้องนวดแป้งใช้ทำขนมปัง และห้องผลิตเหล้าองุ่นไว้ดื่มเวลามีงานเลี้ยงและใช้ในพิธีมิสซา
ส่วนฝ่ายจิตวิญญาณ ถ้ำนี้มีโบสถ์ใช้ถวายมิสซา
เป็นโบสถ์ที่สร้างในศตวรรษที่ 1 โดยมีก้อนหินที่นำมาเป็นพระแท่นวางอยู่ตรงกลาง
และมีกำแพงที่มีรอยไม้กางเขนจารึกอยู่เพื่อบอกว่านี่คือโบสถ์ด้วย ความมหัศจรรย์ที่ทำให้อึ้งก็คือคนโบราณเก่งมากๆ
ขุดถ้ำลงไปถึง 85 เมตรเพื่อเป็นหลุมหลบภัย แถมขุดห้องใต้ดินต่างๆให้เชื่อมกันหมด
เรียกได้ว่า
เป็นพระพรที่พระเจ้ามอบให้ในการหลบภัยจากการเบียดเบียนศาสนาอย่างแท้จริง
นอกจากถ้ำใต้ดินแล้ว เมืองคัปปาโดเกียยังมีพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งชื่อว่า “เกอเรเม่” พิพิธภัณฑ์นี้เป็นถ้ำบนดิน
(ต่างจากถ้ำนักบุญเปาโลที่เป็นใต้ดิน)
ถ้ำเหล่านี้เป็นที่อยู่ของคริสตชนยุคแรกเริ่ม สมัยศตวรรษที่ 1-4
ตอนที่ศาสนาคริสต์ยังเป็น “ของต้องห้าม” ในอาณาจักรโรมัน
คริสตชนมากมายหนีมาหลบภัยจากการเบียดเบียนในที่แห่งนี้ แต่พอศตวรรษที่ 4 เป็นต้นไปที่ “จักรพรรดิคอนสแตนติน” กลับใจมาเป็นคริสตชนและประกาศให้ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาทางการของอาณาจักรโรมัน
ถ้ำเหล่านี้จึงกลายมาเป็นโบสถ์คาทอลิกและอารามนักบวชที่มีนักบุญชื่อดังหลายองค์มาพำนักในที่แห่งนี้
โบสถ์ในถ้ำที่ดังๆก็คือโบสถ์แอปเปิ้ล (APPLE CHURCH)และโบสถ์งู
(SNAKE CHURCH)สาเหตุที่ชื่อโบสถ์แอปเปิ้ล
เพราะสมัยนั้นมีต้นแอปเปิ้ลขึ้นอยู่ข้างๆ คนจึงเรียกแบบนี้ ส่วนโบสถ์งู
มีที่มาจากภาพวาดบนฝาผนังที่เป็นรูปนักบุญจอร์จ (เซนต์ จอร์จ
องค์อุปถัมภ์ของอังกฤษ) ขี่ม้าเอาหอกแทงมังกร แต่คนสมัยนั้น
มองไม่ออกว่านี่คือมังกร พวกเขาคิดว่างู จึงเรียกง่ายๆว่า โบสถ์งู ทั้งสองโบสถ์ดังมากจนทุกคนที่มาเยือนต้องเข้าไปดู
เพราะจิตรกรรมภาพวาดเกี่ยวกับคริสตศาสนานั้นงดงามมาก
ภาพเหล่านี้วาดกันตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 และคงอยู่ถึงปัจจุบัน
ขอบคุณข้อมูล #PopeReport
ในขณะที่เยี่ยมชมถ้ำ เห็นถึงความลำบากของผู้คนในสมัยก่อนที่ต้องหลบ ๆ
ซ่อน ๆ และคิดหาหนทางทำถ้ำให้เชื่อมโยงกันได้ มาร่วมกันสวดภานา นั่นเพราะความเชื่ออันแข็งแกร่ง
ความศรัทธาที่เข้มข้น แล้วเราผู้อยู่ในยุคที่เพียบพร้อมด้วยเครื่องอำนวยความสะดวกสบาย
ไม่ต้องหลบซ่อนเร้นความเชื่อความศรัทธา สิ่งเหล่านี้กลับถูกเก็บใส่ถ้ำในใจและปิดตายด้วยก้อนหินขนาดใหญ่
เราจึงไม่ค่อยรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้คือชีวิต เราจึงมาเข้าร่วมพิธีกรรมแบบพอให้เป็นพิธี
จึงไม่ได้รับจิตวิญญาณความเชื่อที่แท้จริงกลับไปใช่หรือเปล่า....ความลำบากมักนำมาซึ่งความเข้มแข็ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น