วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2561

ในภาวะรู้ตัว

ในภาวะรู้ตัว
วันอังคาร สามโมงเย็นบนถนนสาทร แดดที่แผดเผาจนตัวเราแทบละลาย ดวงตะวันคงคิดถึงดาวโลกน้อยมาก จึงค่อย ๆ เคลื่อนตัวมาให้ใกล้ชิด... เราต่างก็กล่าวโทษกันไปมาว่าเพราะเรื่องนั้นเรื่องนี้ที่ทำให้โลกร้อน  บางทีเราก็ไม่รู้ตัวเลยว่าทุกคนล้วนมีส่วนทำให้เกิดสภาวะแบบนี้ด้วยกันทั้งนั้น หลายคนนั่งแถลงข่าวในห้องแอร์ที่เย็นฉ่ำถึงสาเหตุโลกร้อน เป็นความย้อนแย้งอยู่ในที บางครั้งมนุษย์เราก็มักเป็นเช่นนี้ ที่กระทำเรื่องที่ตรงข้ามกันเสมอ ท่ามกลางเปลวแดดร้อน เราก็มักรับรู้ถึงอันตราย แต่ก่อนหน้านั้นใครพูดยังไงเราก็ไม่รับรู้ จนกระทั่งได้ประสบพบเจอกับตัวเอง เราถึงจะรับรู้ได้ ถ้าหากเราไม่ถูกพระอาทิตย์แสดงความใกล้ชิดโลกแบบนี้ เราก็คงไม่คิดถึงร่มเงาของต้นไม้ใหญ่เป็นแน่แท้ 


ในค่ำวันพุธ สามทุ่มบนถนนสาทร วันที่ถนนโล่งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน วันที่ทุกคนรีบกลับบ้านเพื่อดู ออเจ้า ในละครบุพเพสันนิวาส ละครอิงประวัติศาสตร์ที่ทำให้หลายคนหันกลับไปศึกษาความเป็นมาเป็นไป ละครที่ทำให้เรากลับมาสู่รากเหง้า และในละครก็ทำให้คนเราใกล้ชิดสนิทสนมกันมากขึ้น เพราะคุยในเรื่องเดียวกันได้อย่างถูกคอ นี่เป็นละครที่สร้างกระแสได้อย่างร้อนแรงที่สุดแห่งปี  จากที่เคยห่างหายจากการดูทีวี วันนี้เราต่างกลับมานั่งลุ้นหน้าจอกันแบบใจจดใจจ่อ ละครที่มิได้ใส่ความชั่วร้ายจนเกินไปให้กับตัวละคร ในทุกคนมีด้านดีและร้าย ในทุกยุคทุกสมัยมีทั้งทุกข์-สุข มีเจริญและโรยรา และนี่อาจจะเป็นความจริงเพียงเล็กน้อยของความจริงในวันวาร ความจริงที่สุด คือ เราเป็นมรดกความเชื่อที่มาจากความใจดีมีเมตตาของสถาบันสูงสุด และเมื่อความเชื่อปรากฏในแผ่นดินสยาม ความจริงแห่งความเชื่อยังคงอยู่สู่ชนคนรุ่นเรา ส่วนความเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เป็นเช่นไรก็เป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจได้ ใช่หรือไม่.. หากว่าเรารู้ตัวว่า พรุ่งนี้ก็กลายเป็นความจริงบางส่วนในหน้าประวัติศาสตร์ เราจึงต้องทำความดีกันให้มาก ๆ อย่างน้อย ก็ยังคงมีความดีหลงเหลืออยู่บ้าง


สามโมงเย็นเมื่อสองพันกว่าปี ที่ทำให้โลกได้เห็นประจักษ์ถึงความโหดร้ายของคนเราที่ได้ทำต่อชายผู้หนึ่ง เพียงเพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายในสังคม จึงยอมตนตรึงกางเขนเพียงผู้เดียว เป็นรอยจารึกประวัติศาสตร์แห่งการเสียสละเพื่อผู้อื่น ยอมทรมานเพื่อสันติภาพ ยอมเจ็บเพื่อเพื่อนร่วมชาติและคนทั้งโลก ก่อนหน้านั้นถนนทุกสายมุ่งสู่กรุงเยรูซาเล็ม เพื่อยกย่องชายผู้นั้น ที่เยียวยาความทุกข์ระทม ที่มารักษาคนเจ็บป่วย มาเป็นแพทย์ทางจิตวิญญาณ ชายผู้นั้นที่นั่งบนหลังลา คือ ความหวัง แต่ ชายผู้นั้นกลับนั่งนิ่งสงบ ไม่ตื่นเต้นกับเสียงโห่ร้องต้อนรับ มิได้ยินดีในเกียรติยศที่ได้รับ กิ่งไม้ใบลาน ที่โบกสะพัด อีกไม่ช้าจะกลายเป็นแซ่ที่โบยตี จะกลายเป็นมงกุฎหนามให้สวมใส่ ท่ามกลางผู้คนที่มาบนถนนหนทาง จะมีสักกี่คนที่มาด้วยใจภักดิ์ จะมีสักกี่คนที่รักเคารพอย่างจริงใจ อีกไม่กี่วันทุกอย่างจะผันแปรเปลี่ยนไป ถนนและลานกว้างจะยังเต็มไปด้วยผู้คน แต่เสียงที่อื้ออึงจะเปลี่ยนอารมณ์ ที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังและแช่งด่า แล้วถนนเส้นนั้นจะกลายเป็นเส้นทางประหาร นี่คือประวัติศาสตร์ที่ทำให้เรารับรู้ว่า ในชีวิตคนเรานั้น เมื่อรับเกียรติ ย่อมมีคนเกลียด เมื่อมีความยินดีย่อมมีคนยินร้าย เมื่อมีคนอวยชัยย่อมมีอิจฉาแอบแฝง การรู้ตัวจึงเป็นภาวะทางจิตวิญญาณอย่างหนึ่งเพื่อพร้อมรับทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นในชีวิต
ใครจะไปรู้ว่าสามโมงนี้อาจจะมีฝนตกลงมาก็ได้ แต่ที่แน่ ๆ เรารู้ว่า เราล้วนเกิดมาเพื่อช่วยกันทำความดี ช่วยกันมีเมตตา แต่กระนั้นสังคมโลกก็ยังไม่เคยหมดทุกข์ยากลำบาก ยังไม่พบสันติสุขที่ถาวร เราคงยังเห็นความเกลียดชัง ยังเห็นธรรมชาติและทรัพยากรถูกทำลาย นำไปใช้เพียงเพื่อคนไม่กี่คน นั่นเพราะเราละเลยที่จะรับรู้สภาวะในปัจจุบันและหลงลืมอดีตที่ผ่านมา ความเห็นแก่ตัวมีกับทุกผู้คนในทุกยุคทุกสมัย ความเห็นแก่ตัวที่ร้ายกาจที่สุด คือ ความเห็นแก่ตัวในคราบรอยของการทำดี


เป็นความจริงในหลายครั้งหลายหน ผู้คนก็มักหลงใหลติดกับความดีของตัวเอง สิ่งที่คิดว่าทำดีที่สุดแล้วนั้น บางครั้งบางเวลาก็อาจจะทำให้อีกหลายคนเดือดร้อน อาจจะทำให้บางคนเกิดทุกข์ในความดีที่เราทำ การหลงใหลในความดีก็เป็นสิ่งอันตราย สิ่งที่เราต้องคำนึงถึงบ่อย ๆ คือ การไม่ไปยึดติดกับทุกสิ่งในโลกนี้ ทำดีก็เพื่อความสุขสงบของจิตใจ อย่าใช้ความดีของเราไปเป็นเครื่องบังคับข่มขู่กัน ชีวิตของคนเรา ถ้าไม่เจอความทุกข์ เราก็คงไม่รับรู้ถึงความสุขที่เคยมีมา ความทุกข์กับความสุขต่างเป็นประวัติศาสตร์ของกันและกัน 

ใช่หรือไม่ ชีวิตหนึ่งของคนเรา สั้นยาวไม่เท่ากัน และไม่ว่าจะอยู่ช่วงใดของชีวิต เราไม่ควรไปยึดติด เรียนรู้ ฝึกตัวเองให้รู้ว่าต้องปล่อยปละละเลยในบางสิ่งบางอย่างลงบ้าง และที่สุดพรุ่งนี้ก็จะกลายเป็นอดีต หลายเรื่องอาจไม่เข้าใจ หงุดหงิด รำคาญ ก็จะค่อย ๆ ลดความสำคัญลงไปตามกาลเวลา กลายเป็นเรื่องที่พูดได้เต็มปากว่า ไม่เป็นไร บางทีการโบยตีตัวเองด้วยการระงับดับโกรธ งดโลภลงบ้าง ก็จะทำให้เราพบกับความจริงแห่งจิตวิญญาณ อย่าเอาเวลาที่มีอยู่ไปอิจฉาคนอื่น สู้ทำตัวให้ดีขึ้น  เราควรรู้จักตนเอง หาตนเองให้พบเดินในทางของตนเอง แม้ว่าบางเวลาแดดอาจจะแรง บางเวลาอาจจะวุ่นวาย บางเวลาสงบ ถ้าเรารู้ตัว เราย่อมรู้ว่าทางนั้นเราควรเดินต่อไปหรือไม่...

ไม่มีความคิดเห็น: