ในช่วงเวลาที่เหมาะสม
เห็นกลุ่มผู้อ่านพระคัมภีร์ของวัดเซนต์หลุยส์ พูดคุยกันใต้ต้นไม้ใหญ่ที่บ้านเพชรสำราญ
ริมหาดหัวหิน คุยกันแบบพี่แบบน้อง มีรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ก็มีความคิดเกิดขึ้นมาทันทีว่า
หากเราไม่มีเวลาพบเจอกันแบบนี้บ้าง เราก็คงใช้วิถีชีวิตต่างคนต่างเดิน ต่างคนต่างทำ
พบเจอกันเพียงชั่วครู่ชั่วยาม แล้วเราก็จากกันไป ก็ไม่อาจรับรู้เลยว่า แต่ละคนนั้นมีความดีความงามเป็นเช่นไร
เพราะเราแต่ละคนคือสิ่งสร้างที่พระเจ้าทรงเห็นว่าดีจึงมีเรา แต่…ด้วยเหตุปัจจัยเราจึงมักมองข้ามสิ่งดีของคนรอบกาย มองหาแต่สิ่งที่ถูกจริตกับตัวเรา
จึงมองไม่เห็นความงามของคนอื่น พอมีเวลานั่งมองหน้ามองตากัน โดยไร้เครื่องไม้เครื่องมือ
ความถือดีถือตัวก็ลดลง และน้อมรับฟัง โน้มใจเข้าหากันและกันง่ายขึ้น ณ
ที่ตรงนั้นมันคือ ช่วงเวลาที่เหมาะสม สันติสุขจึงได้บังเกิดขึ้น
ในยุคสมัยที่เรามักมองผู้อื่นและถูกผู้อื่นมองในด้านไม่ดีไม่งาม
จึงก่อให้เกิดความขัดแย้งทั้งต่อตัวเองและต่อผู้อื่น ความสุขจึงไม่บังเกิดขึ้น
ชายชราคนหนึ่งมักจะไปซื้อหนังสือพิมพ์จากร้านประจำอยู่เสมอ
พนักงานร้านนี้มักแสดงสีหน้าจองหองและดูหมิ่นเขาเสมอ เพื่อนของเขาถามเขาด้วยความไม่เข้าใจว่า
“ทำไมนายไม่ไปซื้อร้านอื่น จะไปซื้อทำไมวะร้านนี้
ไอ้เด็กพวกนี้ท่าทางมันยโสสิ้นดี”
ชายชราหัวเราะและตอบว่า
“จะไปถือสาหาความเด็กมันทำไม? หากฉันทำตามที่นายว่า
ฉันต้องเสียเวลาเดินอ้อมไปหลายซอยเลยนะถึงจะซื้อหนังสือพิมพ์ได้
เราจะทำให้มันยุ่งยากไปทำไม? จะว่าไป
ที่เด็กร้านนี้ไม่มีมารยาทมันก็เรื่องของเด็กมัน
ข้าจะต้องอารมณ์บูดตามเด็กพวกนี้ด้วยเหรอ ฉันถามแกหน่อยมันคุ้มไหม?
ฉันไปซื้อหนังสือพิมพ์นะ ฉันไม่ได้ไปดูหน้าเด็กนั่น!”.....(นุสนธิ์บุคส์)
ในเวลาที่เรามองข้ามข้อจำกัดของผู้อื่น เราก็มีพื้นที่แห่งความสุขมากขึ้น เมล็ดพันธุ์แห่งความดีมีได้ด้วยการหว่านความดีลงในดินที่พร้อมรับ
ในจังหวะเวลาที่ลงตัว หากเราแต่ละคนทำพื้นที่ของเราให้พร้อมรับกับความสุข ใยต้องไปฝากความสุขในคนอื่นเล่า
หากเราพบความสุขได้เมื่อใด เมื่อนั้นความสุขก็จะขยายวงออกไป
ลืมความไม่ดีของผู้อื่น เข้าใจในการกระทำของผู้อื่น ให้อภัยผู้อื่น นี่คือการตระเตรียมพื้นที่เพื่อรอรับความสันติสุขในจิตใจเรา
และสังคมที่เราอาศัยอยู่….
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น