วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2561

ในช่วงเวลาที่เหมาะสม


ในช่วงเวลาที่เหมาะสม
เห็นกลุ่มผู้อ่านพระคัมภีร์ของวัดเซนต์หลุยส์ พูดคุยกันใต้ต้นไม้ใหญ่ที่บ้านเพชรสำราญ ริมหาดหัวหิน คุยกันแบบพี่แบบน้อง มีรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ก็มีความคิดเกิดขึ้นมาทันทีว่า หากเราไม่มีเวลาพบเจอกันแบบนี้บ้าง เราก็คงใช้วิถีชีวิตต่างคนต่างเดิน ต่างคนต่างทำ พบเจอกันเพียงชั่วครู่ชั่วยาม แล้วเราก็จากกันไป ก็ไม่อาจรับรู้เลยว่า แต่ละคนนั้นมีความดีความงามเป็นเช่นไร เพราะเราแต่ละคนคือสิ่งสร้างที่พระเจ้าทรงเห็นว่าดีจึงมีเรา แต่ด้วยเหตุปัจจัยเราจึงมักมองข้ามสิ่งดีของคนรอบกาย มองหาแต่สิ่งที่ถูกจริตกับตัวเรา จึงมองไม่เห็นความงามของคนอื่น พอมีเวลานั่งมองหน้ามองตากัน โดยไร้เครื่องไม้เครื่องมือ ความถือดีถือตัวก็ลดลง และน้อมรับฟัง โน้มใจเข้าหากันและกันง่ายขึ้น ณ ที่ตรงนั้นมันคือ ช่วงเวลาที่เหมาะสม สันติสุขจึงได้บังเกิดขึ้น


ในยุคสมัยที่เรามักมองผู้อื่นและถูกผู้อื่นมองในด้านไม่ดีไม่งาม จึงก่อให้เกิดความขัดแย้งทั้งต่อตัวเองและต่อผู้อื่น ความสุขจึงไม่บังเกิดขึ้น
ชายชราคนหนึ่งมักจะไปซื้อหนังสือพิมพ์จากร้านประจำอยู่เสมอ พนักงานร้านนี้มักแสดงสีหน้าจองหองและดูหมิ่นเขาเสมอ เพื่อนของเขาถามเขาด้วยความไม่เข้าใจว่า
ทำไมนายไม่ไปซื้อร้านอื่น จะไปซื้อทำไมวะร้านนี้ ไอ้เด็กพวกนี้ท่าทางมันยโสสิ้นดี”
ชายชราหัวเราะและตอบว่า
“จะไปถือสาหาความเด็กมันทำไม? หากฉันทำตามที่นายว่า ฉันต้องเสียเวลาเดินอ้อมไปหลายซอยเลยนะถึงจะซื้อหนังสือพิมพ์ได้ เราจะทำให้มันยุ่งยากไปทำไม? จะว่าไป ที่เด็กร้านนี้ไม่มีมารยาทมันก็เรื่องของเด็กมัน ข้าจะต้องอารมณ์บูดตามเด็กพวกนี้ด้วยเหรอ ฉันถามแกหน่อยมันคุ้มไหม? ฉันไปซื้อหนังสือพิมพ์นะ ฉันไม่ได้ไปดูหน้าเด็กนั่น!”.....(นุสนธิ์บุคส์)


ในเวลาที่เรามองข้ามข้อจำกัดของผู้อื่น เราก็มีพื้นที่แห่งความสุขมากขึ้น เมล็ดพันธุ์แห่งความดีมีได้ด้วยการหว่านความดีลงในดินที่พร้อมรับ ในจังหวะเวลาที่ลงตัว หากเราแต่ละคนทำพื้นที่ของเราให้พร้อมรับกับความสุข ใยต้องไปฝากความสุขในคนอื่นเล่า หากเราพบความสุขได้เมื่อใด เมื่อนั้นความสุขก็จะขยายวงออกไป ลืมความไม่ดีของผู้อื่น เข้าใจในการกระทำของผู้อื่น ให้อภัยผู้อื่น นี่คือการตระเตรียมพื้นที่เพื่อรอรับความสันติสุขในจิตใจเรา และสังคมที่เราอาศัยอยู่.

ไม่มีความคิดเห็น: