วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2561

หายไปเมื่อยังหายใจ

หายไปเมื่อยังหายใจ
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาได้มีส่วนทำความฝันของเด็กสาวคนหนึ่งให้เป็นจริงขึ้นมา นี่เป็นคุณค่าในการเรียนรู้ที่มิอาจจะใช้มูลค่าทางเศรษฐศาสตร์มาชี้วัดได้เลย หลานสาวคนหนึ่งมีความชื่นชอบในละครเวทีเป็นอย่างมาก เมื่อหลายเดือนก่อนได้ชวนให้ไปชมการแสดง เนื่องด้วยเหตุปัจจัยเรื่องเวลาและความอภิรมย์ส่วนตัวจึงหาคนไปเป็นเพื่อนได้ยากนัก สุดท้ายจึงตัดสินใจไปเป็นเพื่อนโดยมีเงื่อนไขว่าค่าบัตรนั้นห้ามขอจากผู้ปกครองให้เก็บหรือหามาเอง หลานสาวสามารถที่จะเก็บเล็กผสมน้อยได้ตามจำนวน จึงได้ซื้อบัตรเข้าชมละครเวที lady of the state ที่นำนวนิยายดังสามเรื่องมาแสดง ที่โรงละครรัชดาลัย ถือว่าคุ้มค่าในการทำฝันและความหวังของเด็กสาวคนหนึ่งให้เป็นจริง


คำพูดของตัวละครนางเอกคนหนึ่งดังขึ้นว่า “คนหนึ่งหายไป ในขณะที่อีกคนหนึ่งหายใจ” ทำให้นึกถึงหัวใจของหญิงสาวคนหนึ่งที่ลูกชายถูกประหารชีวิตต่อหน้าต่อตาด้วยข้อหาที่มาจากความอิจฉา และหวงแหนอำนาจ ภาพของพระแม่มารีย์ แทบเชิงกางเขนนั้นจะทุกข์ทรมานเพียงใด แต่....ใช่หรือไม่ เมื่อยังมีลมหายใจ จะต้องก้าวข้ามผ่านทุกข์นั้นไปให้ได้ ที่สุดเป็นแม่พระเองที่กลายเป็นศูนย์รวมของบรรดาอัครสาวก ให้กลับมารวมตัวกันก่อตั้งเป็นพระศาสนจักรจวบจนถึงวันนี้ นี่คือผู้หญิงที่รับภารกิจรักต่อมาอย่างกล้าหาญ ที่ได้แปรเปลี่ยนความทุกข์ลำบากให้กลายเป็นพลัง นี่แหละคือการข้ามผ่านที่เราควรให้เกิดขึ้นในชีวิต ที่เราต้องเคยตกอยู่ในภาวะความทุกข์ระทมด้วยกันทุกคน การก้าวข้ามผ่านความทุกข์ยามมีลมหายใจ ดีกว่าการจมอยู่ในทะเลทุกข์แม้ยังหายใจอยู่ การลุกขึ้นสู้ด้วยความเข้มแข็ง บ่อยครั้งมักนำมาซึ่งความยิ่งใหญ่ได้เสมอ


และอีกหนึ่งตัวอย่างในโลกเล็ก ๆ ใบนี้ที่มีคนไม่ยอมหยุด และได้ก้าวข้ามผ่านความทุกข์ตราบที่ยังมีลมหายใจ สุภาสินีเข้าพิธีแต่งงานเมื่อเธอมีอายุเพียง 12 ปี โชคร้ายเป็นอย่างยิ่งเพราะ 12 ปีให้หลัง (ปี 1967) เธอต้องเลี้ยงลูกทั้ง 4 โดยลำพัง เพราะสามีของเธอเสียชีวิตลงเนื่องจากความยากจนทำให้เธอไม่มีเงินเพียงพอในการรักษาพยาบาล 
นับแต่วันนั้นเธอตั้งปณิธานว่า ความจนต้องไม่ทำให้คนตาย สุภาสินีตั้งใจทำงานเก็บเงินจากน้ำพักน้ำแรงอันน้อยนิดของเธอ เธอไม่ได้มีการศึกษา ฉะนั้นอาชีพของเธอคือการไปรับจ้าง ไปเป็นกรรมกร ไปเป็นคนใช้ตามบ้านต่างๆ และไปเป็นคนขายผัก รายได้ของสุภาสินีนอกจากจะเพื่อจุนเจือบุตรทั้ง 4 คนให้ได้รับการศึกษาแล้ว เธอยังเก็บออมเงินเป็นเวลาหลายสิบปีเพื่อทำในสิ่งที่เธอตั้งใจ 
ในช่วงปี 1992 สุภาสินีนำเงินทั้งหมดที่ตนเองมี ซื้อที่ดินเพื่อก่อสร้าง โรงพยาบาลเพื่อมนุษยชาติ (Humanity Hospital) สถานพยาบาลขนาดเล็กที่ให้บริการคนยากจนฟรีโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายในหมู่บ้าน Hanskhali ของเธอ โดยมีนายแพทย์อเจย์ บุตรชายคนโต กลุ่มแพทย์พยาบาลอาสา และชาวบ้านในชุมชนร่วมกันบริจาคเงินสานฝันของเธอให้เป็นจริง 
ปัจจุบัน โรงพยาบาลเพื่อมนุษยชาติของเธอได้เติบโตขึ้น สุภาสินีมีโรงพยาบาลสาขาถึง 2 แห่งในรัฐเบงกอลตะวันตก เปิดให้บริการผู้ยากไร้กว่าหมื่นคนในแต่ละปี แพทย์ที่ทำงานส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เป็นอาสาสมัคร ผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาปฏิบัติงาน โดยได้รับเงินสนับสนุนผ่านการบริจาคของผู้ใจบุญ ในอนาคตสุภาสินียังมีแผนที่จะเปิดวิทยาลัยพยาบาลเพื่อผลิตบุคลากรทางสาธารณสุขให้สามารถบริการสังคมอีกด้วย จึงไม่แปลกนักที่ สุภาสินี มิสตรี สตรีวัย 74 ปี ชาวอินเดียจะได้รับเครื่องอิสริยาภรณ์ชั้นสูงปัทมศรี (PadmaShri) จากฯพณฯ ราม นาถ โกวินด์ ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐอินเดีย ในวันที่ 21 มีนาคม 2561 ที่ผ่านมา 


หลังได้รับรางวัล เธอกล่าวต่อสื่อมวลชนว่า ฉันดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับเครื่องอิสริยาภรณ์นี้ แต่ในขณะเดียวกัน ฉันขอร้องให้โรงพยาบาลทุกแห่งในโลกนี้ อย่าปฏิเสธคนไข้ที่ต้องการการรักษาพยาบาลอย่างเร่งด่วน สามีของฉันเสียชีวิตลงเพราะเขาถูกปฏิเสธการรักษา และฉันไม่ต้องการให้ผู้ใดต้องเสียชีวิตลงในลักษณะเช่นเดียวกัน” Cr : PiyanatSoikham

           หากความฝันสำเร็จได้ด้วยความเพียรทน คนเราก็จะผ่านความทุกข์ทนเพื่อพบกับความสุขได้ด้วยการพยายามแก้ปัญหาเช่นกัน มิใช่พอเกิดปัญหาก็ข้ามปัญหาไป ปล่อยให้ปัญหาคงอยู่ ตราบใดเรามีลมหายใจใยต้องกลัวกับการเผชิญปัญหา ความสุขที่แท้จริงมักจะเกิดตอนที่เราได้แก้ปัญหา เป็นสิ่งที่น่าแปลกใจยิ่งในทุกวันนี้ เรามักไม่มีความกล้าหาญเพียงพอ เรามักจะรอคอยให้ผู้อื่นมาพยุง เรามักเรียกร้องขอความช่วยเหลือโดยมิได้ออกแรงก่อน ในขณะที่วันนี้โลกมีสิ่งที่จะคอยช่วยเหลือให้เราก้าวข้ามปัญหาได้มากมาย แต่ทำไมผู้คนกลับดูซึมเศร้า ทุกข์โศกยิ่งนัก หรือเป็นเพราะหัวใจของเราเล็กลง หรือเป็นเพราะยิ่งสบายยิ่งเห็นแก่ตัวมากขึ้น ปัสกาปีนี้เราควรตั้งคำถามให้ตัวเราว่า ในขณะที่เรามีลมหายใจเข้าออกอยู่ ชีวิตเรามีค่ามีความหมายเช่นไร พระเยซูเจ้าผู้จากไปได้ฝากลมหายใจไว้กับเรา เพื่อให้เราทำให้โลกนี้พบสันติ เราได้ทำแล้วหรือยัง โดยเฉพาะสันติในตัวเราเอง เมื่อพบแล้วการมอบสันติให้กับคนรอบข้างก็มิใช่เรื่องยากเลย ..

วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2561

ในภาวะรู้ตัว

ในภาวะรู้ตัว
วันอังคาร สามโมงเย็นบนถนนสาทร แดดที่แผดเผาจนตัวเราแทบละลาย ดวงตะวันคงคิดถึงดาวโลกน้อยมาก จึงค่อย ๆ เคลื่อนตัวมาให้ใกล้ชิด... เราต่างก็กล่าวโทษกันไปมาว่าเพราะเรื่องนั้นเรื่องนี้ที่ทำให้โลกร้อน  บางทีเราก็ไม่รู้ตัวเลยว่าทุกคนล้วนมีส่วนทำให้เกิดสภาวะแบบนี้ด้วยกันทั้งนั้น หลายคนนั่งแถลงข่าวในห้องแอร์ที่เย็นฉ่ำถึงสาเหตุโลกร้อน เป็นความย้อนแย้งอยู่ในที บางครั้งมนุษย์เราก็มักเป็นเช่นนี้ ที่กระทำเรื่องที่ตรงข้ามกันเสมอ ท่ามกลางเปลวแดดร้อน เราก็มักรับรู้ถึงอันตราย แต่ก่อนหน้านั้นใครพูดยังไงเราก็ไม่รับรู้ จนกระทั่งได้ประสบพบเจอกับตัวเอง เราถึงจะรับรู้ได้ ถ้าหากเราไม่ถูกพระอาทิตย์แสดงความใกล้ชิดโลกแบบนี้ เราก็คงไม่คิดถึงร่มเงาของต้นไม้ใหญ่เป็นแน่แท้ 


ในค่ำวันพุธ สามทุ่มบนถนนสาทร วันที่ถนนโล่งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน วันที่ทุกคนรีบกลับบ้านเพื่อดู ออเจ้า ในละครบุพเพสันนิวาส ละครอิงประวัติศาสตร์ที่ทำให้หลายคนหันกลับไปศึกษาความเป็นมาเป็นไป ละครที่ทำให้เรากลับมาสู่รากเหง้า และในละครก็ทำให้คนเราใกล้ชิดสนิทสนมกันมากขึ้น เพราะคุยในเรื่องเดียวกันได้อย่างถูกคอ นี่เป็นละครที่สร้างกระแสได้อย่างร้อนแรงที่สุดแห่งปี  จากที่เคยห่างหายจากการดูทีวี วันนี้เราต่างกลับมานั่งลุ้นหน้าจอกันแบบใจจดใจจ่อ ละครที่มิได้ใส่ความชั่วร้ายจนเกินไปให้กับตัวละคร ในทุกคนมีด้านดีและร้าย ในทุกยุคทุกสมัยมีทั้งทุกข์-สุข มีเจริญและโรยรา และนี่อาจจะเป็นความจริงเพียงเล็กน้อยของความจริงในวันวาร ความจริงที่สุด คือ เราเป็นมรดกความเชื่อที่มาจากความใจดีมีเมตตาของสถาบันสูงสุด และเมื่อความเชื่อปรากฏในแผ่นดินสยาม ความจริงแห่งความเชื่อยังคงอยู่สู่ชนคนรุ่นเรา ส่วนความเท็จจริงทางประวัติศาสตร์เป็นเช่นไรก็เป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจได้ ใช่หรือไม่.. หากว่าเรารู้ตัวว่า พรุ่งนี้ก็กลายเป็นความจริงบางส่วนในหน้าประวัติศาสตร์ เราจึงต้องทำความดีกันให้มาก ๆ อย่างน้อย ก็ยังคงมีความดีหลงเหลืออยู่บ้าง


สามโมงเย็นเมื่อสองพันกว่าปี ที่ทำให้โลกได้เห็นประจักษ์ถึงความโหดร้ายของคนเราที่ได้ทำต่อชายผู้หนึ่ง เพียงเพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายในสังคม จึงยอมตนตรึงกางเขนเพียงผู้เดียว เป็นรอยจารึกประวัติศาสตร์แห่งการเสียสละเพื่อผู้อื่น ยอมทรมานเพื่อสันติภาพ ยอมเจ็บเพื่อเพื่อนร่วมชาติและคนทั้งโลก ก่อนหน้านั้นถนนทุกสายมุ่งสู่กรุงเยรูซาเล็ม เพื่อยกย่องชายผู้นั้น ที่เยียวยาความทุกข์ระทม ที่มารักษาคนเจ็บป่วย มาเป็นแพทย์ทางจิตวิญญาณ ชายผู้นั้นที่นั่งบนหลังลา คือ ความหวัง แต่ ชายผู้นั้นกลับนั่งนิ่งสงบ ไม่ตื่นเต้นกับเสียงโห่ร้องต้อนรับ มิได้ยินดีในเกียรติยศที่ได้รับ กิ่งไม้ใบลาน ที่โบกสะพัด อีกไม่ช้าจะกลายเป็นแซ่ที่โบยตี จะกลายเป็นมงกุฎหนามให้สวมใส่ ท่ามกลางผู้คนที่มาบนถนนหนทาง จะมีสักกี่คนที่มาด้วยใจภักดิ์ จะมีสักกี่คนที่รักเคารพอย่างจริงใจ อีกไม่กี่วันทุกอย่างจะผันแปรเปลี่ยนไป ถนนและลานกว้างจะยังเต็มไปด้วยผู้คน แต่เสียงที่อื้ออึงจะเปลี่ยนอารมณ์ ที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังและแช่งด่า แล้วถนนเส้นนั้นจะกลายเป็นเส้นทางประหาร นี่คือประวัติศาสตร์ที่ทำให้เรารับรู้ว่า ในชีวิตคนเรานั้น เมื่อรับเกียรติ ย่อมมีคนเกลียด เมื่อมีความยินดีย่อมมีคนยินร้าย เมื่อมีคนอวยชัยย่อมมีอิจฉาแอบแฝง การรู้ตัวจึงเป็นภาวะทางจิตวิญญาณอย่างหนึ่งเพื่อพร้อมรับทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นในชีวิต
ใครจะไปรู้ว่าสามโมงนี้อาจจะมีฝนตกลงมาก็ได้ แต่ที่แน่ ๆ เรารู้ว่า เราล้วนเกิดมาเพื่อช่วยกันทำความดี ช่วยกันมีเมตตา แต่กระนั้นสังคมโลกก็ยังไม่เคยหมดทุกข์ยากลำบาก ยังไม่พบสันติสุขที่ถาวร เราคงยังเห็นความเกลียดชัง ยังเห็นธรรมชาติและทรัพยากรถูกทำลาย นำไปใช้เพียงเพื่อคนไม่กี่คน นั่นเพราะเราละเลยที่จะรับรู้สภาวะในปัจจุบันและหลงลืมอดีตที่ผ่านมา ความเห็นแก่ตัวมีกับทุกผู้คนในทุกยุคทุกสมัย ความเห็นแก่ตัวที่ร้ายกาจที่สุด คือ ความเห็นแก่ตัวในคราบรอยของการทำดี


เป็นความจริงในหลายครั้งหลายหน ผู้คนก็มักหลงใหลติดกับความดีของตัวเอง สิ่งที่คิดว่าทำดีที่สุดแล้วนั้น บางครั้งบางเวลาก็อาจจะทำให้อีกหลายคนเดือดร้อน อาจจะทำให้บางคนเกิดทุกข์ในความดีที่เราทำ การหลงใหลในความดีก็เป็นสิ่งอันตราย สิ่งที่เราต้องคำนึงถึงบ่อย ๆ คือ การไม่ไปยึดติดกับทุกสิ่งในโลกนี้ ทำดีก็เพื่อความสุขสงบของจิตใจ อย่าใช้ความดีของเราไปเป็นเครื่องบังคับข่มขู่กัน ชีวิตของคนเรา ถ้าไม่เจอความทุกข์ เราก็คงไม่รับรู้ถึงความสุขที่เคยมีมา ความทุกข์กับความสุขต่างเป็นประวัติศาสตร์ของกันและกัน 

ใช่หรือไม่ ชีวิตหนึ่งของคนเรา สั้นยาวไม่เท่ากัน และไม่ว่าจะอยู่ช่วงใดของชีวิต เราไม่ควรไปยึดติด เรียนรู้ ฝึกตัวเองให้รู้ว่าต้องปล่อยปละละเลยในบางสิ่งบางอย่างลงบ้าง และที่สุดพรุ่งนี้ก็จะกลายเป็นอดีต หลายเรื่องอาจไม่เข้าใจ หงุดหงิด รำคาญ ก็จะค่อย ๆ ลดความสำคัญลงไปตามกาลเวลา กลายเป็นเรื่องที่พูดได้เต็มปากว่า ไม่เป็นไร บางทีการโบยตีตัวเองด้วยการระงับดับโกรธ งดโลภลงบ้าง ก็จะทำให้เราพบกับความจริงแห่งจิตวิญญาณ อย่าเอาเวลาที่มีอยู่ไปอิจฉาคนอื่น สู้ทำตัวให้ดีขึ้น  เราควรรู้จักตนเอง หาตนเองให้พบเดินในทางของตนเอง แม้ว่าบางเวลาแดดอาจจะแรง บางเวลาอาจจะวุ่นวาย บางเวลาสงบ ถ้าเรารู้ตัว เราย่อมรู้ว่าทางนั้นเราควรเดินต่อไปหรือไม่...

วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2561

ในช่วงเวลาที่เหมาะสม


ในช่วงเวลาที่เหมาะสม
เห็นกลุ่มผู้อ่านพระคัมภีร์ของวัดเซนต์หลุยส์ พูดคุยกันใต้ต้นไม้ใหญ่ที่บ้านเพชรสำราญ ริมหาดหัวหิน คุยกันแบบพี่แบบน้อง มีรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ก็มีความคิดเกิดขึ้นมาทันทีว่า หากเราไม่มีเวลาพบเจอกันแบบนี้บ้าง เราก็คงใช้วิถีชีวิตต่างคนต่างเดิน ต่างคนต่างทำ พบเจอกันเพียงชั่วครู่ชั่วยาม แล้วเราก็จากกันไป ก็ไม่อาจรับรู้เลยว่า แต่ละคนนั้นมีความดีความงามเป็นเช่นไร เพราะเราแต่ละคนคือสิ่งสร้างที่พระเจ้าทรงเห็นว่าดีจึงมีเรา แต่ด้วยเหตุปัจจัยเราจึงมักมองข้ามสิ่งดีของคนรอบกาย มองหาแต่สิ่งที่ถูกจริตกับตัวเรา จึงมองไม่เห็นความงามของคนอื่น พอมีเวลานั่งมองหน้ามองตากัน โดยไร้เครื่องไม้เครื่องมือ ความถือดีถือตัวก็ลดลง และน้อมรับฟัง โน้มใจเข้าหากันและกันง่ายขึ้น ณ ที่ตรงนั้นมันคือ ช่วงเวลาที่เหมาะสม สันติสุขจึงได้บังเกิดขึ้น


ในยุคสมัยที่เรามักมองผู้อื่นและถูกผู้อื่นมองในด้านไม่ดีไม่งาม จึงก่อให้เกิดความขัดแย้งทั้งต่อตัวเองและต่อผู้อื่น ความสุขจึงไม่บังเกิดขึ้น
ชายชราคนหนึ่งมักจะไปซื้อหนังสือพิมพ์จากร้านประจำอยู่เสมอ พนักงานร้านนี้มักแสดงสีหน้าจองหองและดูหมิ่นเขาเสมอ เพื่อนของเขาถามเขาด้วยความไม่เข้าใจว่า
ทำไมนายไม่ไปซื้อร้านอื่น จะไปซื้อทำไมวะร้านนี้ ไอ้เด็กพวกนี้ท่าทางมันยโสสิ้นดี”
ชายชราหัวเราะและตอบว่า
“จะไปถือสาหาความเด็กมันทำไม? หากฉันทำตามที่นายว่า ฉันต้องเสียเวลาเดินอ้อมไปหลายซอยเลยนะถึงจะซื้อหนังสือพิมพ์ได้ เราจะทำให้มันยุ่งยากไปทำไม? จะว่าไป ที่เด็กร้านนี้ไม่มีมารยาทมันก็เรื่องของเด็กมัน ข้าจะต้องอารมณ์บูดตามเด็กพวกนี้ด้วยเหรอ ฉันถามแกหน่อยมันคุ้มไหม? ฉันไปซื้อหนังสือพิมพ์นะ ฉันไม่ได้ไปดูหน้าเด็กนั่น!”.....(นุสนธิ์บุคส์)


ในเวลาที่เรามองข้ามข้อจำกัดของผู้อื่น เราก็มีพื้นที่แห่งความสุขมากขึ้น เมล็ดพันธุ์แห่งความดีมีได้ด้วยการหว่านความดีลงในดินที่พร้อมรับ ในจังหวะเวลาที่ลงตัว หากเราแต่ละคนทำพื้นที่ของเราให้พร้อมรับกับความสุข ใยต้องไปฝากความสุขในคนอื่นเล่า หากเราพบความสุขได้เมื่อใด เมื่อนั้นความสุขก็จะขยายวงออกไป ลืมความไม่ดีของผู้อื่น เข้าใจในการกระทำของผู้อื่น ให้อภัยผู้อื่น นี่คือการตระเตรียมพื้นที่เพื่อรอรับความสันติสุขในจิตใจเรา และสังคมที่เราอาศัยอยู่.

วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2561

มนุษย์

มนุษย์
คิดจะเที่ยวจังหวัดอุบลราชธานีอยู่หลายต่อหลายครั้ง จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้มาสักที แต่แล้วจู่ ๆ เมื่อเวลาที่เหมาะสมมาถึง ก็ตัดสินใจ จองตั๋วรถทัวร์ในวันศุกร์ คืนวันเสาร์ออกเดินทาง เรื่องบางเรื่องวางแผนแทบเป็นแทบตาย ก็ไม่ได้เป็นไปสมดังแผน แต่กับบางเรื่อง ไม่ต้องวางแผน แค่ทำด้วยหัวใจ ผลที่ได้มามากเกินกว่าที่หัวสมองคิดไว้ เฉกเช่นครั้งนี้มาจังหวัดอุบล จุดเป้าหมายแรกคือ  เพื่อมาเยี่ยมซิสเตอร์ละมัย ประผะลา ซิสเตอร์คณะรักกางเขนแห่งอุบลฯ ผู้ดูแล คุณพ่อกอสเต พระสงฆ์อาวุโส ของคณะมิสซังต่างประเทศแห่งกรุงปารีส (MEP) ที่ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองไทยกว่า 60 ปี และเป็นมิชชันนารีอยู่แถบภาคอีสานตลอดมา คุณพ่อยังเป็นผู้เขียนผู้แปลหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์พระศาสนจักรไทย งานแปลอีกหลายเล่มที่ล้วนเป็นประโยชน์ในการศึกษาความเป็นไปเป็นมาของการแพร่ธรรมในประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้าน มีเวลาอยู่กับคุณพ่อสามวันมีเวลาสนทนาถามหาความรู้ มีเวลาได้ดูแล พาไปนั่งรถชมที่ต่าง ๆ ในขณะที่ผ่านเส้นทางนั้นทางนี้ คุณพ่อก็มักจะบอกว่าเคยผ่านมาทำงานกับเพื่อน ๆ


บ่อยครั้งที่มีเวลาพูดคุยกับคุณพ่อเกี่ยวกับงานเขียนของท่าน มีบ้างบางเวลาเห็นความทดท้อต่อการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของคนรุ่นใหม่ ที่ไม่ค่อยมีการสนใจใส่ใจกันมากนัก แต่คุณพ่อก็ไม่หมดหวังหมดพลังที่จะแปลงานดี ๆ ต่อไป แม้ว่าร่างกายจะเริ่มอ่อนแรงลงด้วยวัยแห่งวันเวลาที่ผ่านมาเนิ่นนาน ประวัติศาสตร์ทำให้เราไม่ลืมรากเหง้าของตัวเอง ได้ยินคำนี้แล้วรู้สึกว่า คุณพ่อกำลังหมายถึงความเป็นอยู่ของเราในสังคมปัจจุบันที่หลงลืมความเป็นมาของต้นธาร หลงลืมจิตตารมณ์ หลงลืมรากฐานที่เป็นจุดเริ่มต้น เรามักเขียนแผน วางผัง โดยมิได้ย้อนมองไปในวันข้างหลังว่าสิ่งเหล่านี้ที่จะทำที่เกิดขึ้นมาได้ ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้นั้นเพื่ออันใด???
ในการสนทนาระหว่างเรา สังเกตว่าคุณพ่อมักเป็นผู้ที่ชอบตั้งคำถามและเป็นผู้ฟังที่ดีมาก และมักมีบทสรุปให้เราได้เสมอ เราได้พูดคุยกันว่าเดี๋ยวนี้สมัยนี้เรามีคนเรียนสูง ๆ เยอะแยะ แต่เหตุไฉนคุณภาพของการศึกษาคุณภาพชีวิตภายในจึงด้อยลง สิ่งหนึ่งเพราะเราเรียนเพื่อยกระดับตัวเองจนหลงลืมว่าเราต้องเรียนมาเพื่อสอนและแบ่งปันความรู้ เพื่อช่วยเหลือคนอื่น คุณพ่อพูดว่า บางทีบนหนทางแห่งความศักดิ์สิทธิ์นั้นความรู้แทบไม่จำเป็นเลย แต่สำคัญสุดคือเรื่องจิตวิญญาณ หรือ จิตตารมณ์ ต้องเข้มแข็ง แล้วทุกครั้งคุณพ่อมักจะสรุปว่า นี้คือ “มนุษย์” 

มนุษย์ผู้ที่ยังมีบาป และความเห็นแก่ตัวอยู่เต็มล้น ซึ่งล้วนแต่ยึดโยงตัวเองเป็นศูนย์รวมจักรวาล วาดหวังให้ผู้อื่นอยู่ใต้อาณัติห้ามขัดขืน ทำให้เราเย่อหยิ่งโอหัง ในวันที่มีโอกาสพาคุณพ่อนั่งรถไปชมสามพันโบก ทีแรกท่านคิดว่าสามพันโบสถ์ ท่านถามตลอดทางว่าไหนล่ะ ยังไม่เห็นซักโบสถ์ พอไปถึงที่หมายท่านเห็นหินผา ซากทรายในลุ่มน้ำโขง ยามน้ำแล้ง เห็นเป็นดังแกรนแคนยอนยังไงยังนั้น แม้ท่านไม่สามารถเดินลงไปข้างล่างในล่องลำน้ำได้ คุณพ่อได้เห็นยังบอกว่าช่างอัศจรรย์จริง ๆ ท่านไม่เคยรู้เลยว่ามีแบบนี้ด้วยหรือ แท้จริงแล้วเป็นเรื่องลำบากมากสำหรับผู้สูงอายุที่จะนั่งรถนาน ๆ แต่ท่านรู้สึกว่ามีความสุขมากกว่า ได้เห็นได้รำลึกถึงเพื่อนเก่า ๆ ได้เห็นสิ่งสร้างอันอัศจรรย์ของพระเจ้า ทำให้เราต้องน้อมรับความเป็นมนุษย์ผู้ต่ำตมมากยิ่งขึ้น ใช่หรือไม่ แม้เราจะเรียนรู้อะไรต่อมิอะไรมากมาย ก็มิอาจจะหยั่งรู้ถึงพระราชกิจของพระเจ้าได้เลย เราเพียงแต่ต้องเรียนรู้ประวัติศาสตร์แห่งความรัก และน้อมรับด้วยหัวใจศรัทธา เพราะบนหนทางศักดิ์สิทธิ์นี่ต้องอาศัยศรัทธาและใจสุภาพอ่อนโยนเท่านั้น 
บางทีเราอยู่ในยุคสมัยใหม่ แล้วก็คิดว่าแนวคิดสมัยใหม่ การทำสิ่งใหม่ ๆ มันคือการพัฒนา จนหลงใหลกับการพัฒนาวัตถุภายนอก ปล่อยให้แก่นกลางเลือนหายไปกับกาลเวลา สิ่งเก่า ๆ ใช่ว่าจะล้าหลังเสมอไป ใช่หรือไม่ ทุกสิ่งที่เกิดมาในสมัยเก่าก่อนมักมาจากความศรัทธาทั้งสิ้น หาใช่เกิดจากอัตตา เป้าหมายสูงสุดนั้น เราต้องทำเพื่อสรรเสริญพระเจ้า สิ่งใดที่เราทำด้วยใจรัก มักจะยืนยาวกว่าหัวใจที่โอ้อวด สิ่งใดที่เราทำด้วยความเคารพต่อยอดจากสิ่งเดิม สิ่งที่เพิ่มเติมคือความมั่นคงและเข้มแข็ง



ในโอกาสที่เรากำลังอยู่ในช่วงมหาพรต หากเราตระหนักถึงความเป็นมนุษย์ทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น มนุษย์ที่มีประวัติศาสตร์แห่งความรอดพ้นบนความทุกข์ทรมานขององค์พระเยซูเจ้า เราก็จะได้ลดละความโอ้อวด และการดูแคลนกันและกัน ใช้วันเวลาเพื่อพัฒนาจิตวิญญาณให้มากขึ้น ลดการปลูกฝังด้านวัตถุนิยมภายนอกให้น้อยลง ช่วยเหลือใส่ใจกันด้วยหัวใจบริสุทธิ์ ไม่ใช่เพียงคำพูดที่สวยหรู ที่สุดแล้ว เราต้องน้อมรับในความอ่อนแอ อ่อนด้อยของเราผู้เป็นมนุษย์เพียงเศษเถ้าธุลี ในฐานะบุคคลธรรมดาสามัญ เราต้องตระหนักเสมอว่าเราเป็นมนุษย์คนหนึ่ง เพื่อทำให้เรามีจิตใจที่ผ่อนลง อ่อนน้อมลง ในขณะเดียวกันเราก็ต้องมองคนอื่นเป็นมนุษย์ด้วยเช่นกัน เพื่อจะได้ให้อภัยต่อผู้คน หัวใจเราจะได้เป็นหัวใจดั้งเดิม คือหัวใจดวงเดียวกันกับองค์พระผู้เป็นเจ้า

วันศุกร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2561

สุขดีมีที่ใด


สุขดีมีที่ใด
สิ้นเดือนสองเข้าสู่เดือนสาม โมงยามเคลื่อนไปตามกาละของมัน เพียงแต่ใจของผู้คนล้วนตั้งตนกำหนดว่าวันนี้สั้นวันนั้นยาว โดยเอาความสุขทุกข์เป็นตัวบ่งชี้ และนำเอาวัตถุภายนอกมาเป็นเครื่องชี้ระดับความสุขอีกทีหนึ่ง เด็กนักเรียนต่างขะมักเขม้นเคี่ยวเข็ญเร่งอ่านหนังสือ เพื่อสอบปิดภาคเรียน หลายคนต้องไปสอบเพื่อแข่งขันเข้าโรงเรียนที่พ่อแม่อยากให้ไปเรียนในที่อื่น ไป ๆ มา ๆ ความสุขช่วงปิดเทอมที่เด็กใฝ่ฝันถึงกลับกลายเป็นความเครียด ลูกหลานบางคนสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้วก็ต้องมีปัจจัยอื่นเข้ามาเพิ่มเติม ไหนจะค่าเล่าเรียน ไหนจะค่าใช้จ่ายสารพัด แต่ก็นั่นแหละ ทุกคนต่างก็หวังว่าในวันข้างหน้าเมื่อพ้นผ่านความทุกข์เหล่านี้ไปแล้วความสุขจะตามมา นี่เป็นวิถีที่ซึมลึกลงในสังคมมาอย่างยาวนาน เอาเข้าจริงเราก็ไม่ทราบได้ว่าวันข้างหน้านั้นเด็กเหล่านี้จะพบกับความสุขในชีวิตอย่างแท้จริงหรือ!!!!

ในมิติด้านกว้างของสังคมมาถึงวันนี้ วันที่เรามีเครื่องอำนวยความสะดวกสบายให้สามารถใช้สอยได้ในเกือบจะทุกรูปแบบ ชีวิตแสนดี อยากได้อะไรเพียงแค่หยิบโทรศัพท์แล้วกดสั่ง กดจ่าย ไม่นานสิ่งนั้นก็มาถึงหน้าบ้าน และนับวันยิ่งมีบริการส่งถึงที่ในทุกสิ่งที่ต้องการ ดูเหมือนว่าชีวิตคนเรามีความสุขเสียจริง ๆ แต่ทำไมล่ะ??? เรายังคงมีเสียงอื้ออึง ถามหาความสุขกันอยู่ทุกโมงยาม บางอย่างในโลกนี้มีเพียงแค่เปลือก บางอย่างในโลกเป็นของสำเร็จรูป ทุกสิ่งล้วนเป็นมายา ความสุขนี่สิของจริง
โลกของเราถูกครอบด้วยระบบแลกเปลี่ยน ด้วยเงินตรามาเป็นเวลานาน ในไม่ช้าไม่นาน โลกก็จะเกิดระบบการแลกเปลี่ยนใหม่ ที่ไม่มีการผูกขาด เสมือนการกลับไปใช้ระบบแลกเปลี่ยนสิ่งของต่อสิ่งของตามแล้วแต่จะตกลงกัน โดยที่สมัยใหม่นี้จะมีการตกลงกันด้วยระบบเชื่อมโยงกันทั้งโลก ใครจะแลกเปลี่ยนสิ่งใดก็เข้าไปในกลุ่มนั้น ภายในกลุ่มก็จะทำการตกลงกันเป็นราคามาตรฐาน ไม่ต้องผ่านขบวนการต้องเปลี่ยนสกุลเงินอีกต่อไป ความสะดวกจะทบทวีคูณในวิถีชีวิตของเรา แต่อีกนั่นแหละ ก็ยังคงมีผู้คนทั้งโลกอีกมากมายร้องเรียกหาความสุขที่แท้จริง คำตอบมันตายตัวในทุกยุคทุกสมัย คำตอบที่ไม่ต้องไปดิ้นรนแสวงหาจากระบบใด ๆ ภายนอกทั้งสิ้น เพราะความสุขที่เที่ยงแท้มันมาจากภายใน ต่อให้เราประดับกายด้วยอัญมณีที่ล้ำค่า แต่ภายในรู้สึกเหงาเศร้าหมองก็เท่านั้น ภายนอกต่อให้ตกแต่งสวยงามเพียงใดภายในไม่มั่นคงเป็นได้แค่สวยแต่ไม่งาม มีผู้รู้ธรรมกล่าวไว้ว่า
ใช้ชีวิตธรรมดาของตนให้ดี ใส่ใจคนในครอบครัว อย่ามัวแต่สนใจเรื่องของคนอื่น
ความสุข..ไม่ได้อยู่ที่บ้านใหญ่เพียงใด แต่อยู่ที่เสียงหัวเราะในบ้านหวานแค่ไหน
ความสุข..ไม่ใช่ได้ขับรถหรูเพียงใด แต่อยู่ที่ขับรถกลับถึงบ้านได้ปลอดภัย
ความสุข..ไม่ใช่มีคนรักสวย แต่อยู่ที่รอยยิ้มของคนรักสดใสเพียงใด
ความสุข..ไม่ได้อยู่ที่ได้ฟังคำหวานมากหรือน้อย แต่อยู่ที่ยามโศกเศร้าเสียใจ..มีคนบอกฉันว่า ไม่เป็นไร ยังมีฉันอยู่..


ใช่หรือไม่ ทุกวันนี้เราถูกสอนให้เป็นผู้รับตั้งแต่เด็กจนโต มีคนนำอะไรต่ออะไรมาบริการถึงที่ ยิ่งในวันข้างหน้านี้ชีวิตไม่ต้องออกไปไหน ทุกสิ่งพร้อมอำนวยความสะดวกถึงปลายเตียง ค่านิยมบริโภคเกิดขึ้น ฉะนั้นแล้ว เราต้องเริ่มเปลี่ยนค่านิยม  อย่าให้เด็กเสพติดกับความสะดวกสบายมากเกินไป ฝึกฝนให้เขารู้จักช่วยตัวเอง ฝึกให้เขาเป็นผู้ให้ สร้างภูมิให้เด็กเห็น ความสุขที่เกิดจากการให้ เด็กก็จะเกิดความภาคภูมิใจ หรือมีความสุขจากการกระทำความดีด้วยตัวเอง เป็นการสร้างทัศนคติด้านงามแง่บวก สิ่งนี้แหละที่จะหล่อเลี้ยงชีวิตที่เรียบง่าย ไม่เป็นทาสของบริโภคนิยม

ต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนมาจากภายในทั้งสิ้น ครอบครัวจะมีความสุขถ้าคนในบ้านใส่ใจกัน คนที่มีความสุขที่สุดในโลกไม่ใช่คนที่ร่ำรวย คนที่มีความสุขที่สุดในโลกไม่ใช่คนที่ประสบความสำเร็จ แต่คนที่มีความสุขที่สุดในโลก คือคนที่มีความสบายใจเท่านั้นเอง ความสุขนั้นคือพอใจกับวิถีชีวิตของตัวเองการได้รับวัตถุและความสำเร็จในหน้าที่การงานทำให้เราพึงพอใจและยกระดับฐานะ เป็นการสร้างความสุขเพียงภายนอกและอาจจะไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป เพราะคนเรานั้นย่อมมีความต้องการเพิ่มขึ้นเสมอไม่มีวันหยุดนิ่ง ความสุขที่แท้จริงเกิดจากภายในจิตใจของคนเรา ถ้าจิตใจของเราเต็มไปด้วยความโลภ ความอยากได้ใคร่มี ความสุขก็จะเกิดขึ้นได้ยากยิ่ง ความสุขนั้นมักเกิดขึ้นท่ามกลางความสงบนิ่งของจิตใจ ชีวิตของคนเรานั้นไม่ยืนยาวและสุดจะคาดคะเนได้ สร้างความสุขได้ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ อย่าไปมุ่งหวังยามแก่เฒ่าแล้วค่อยอยู่อย่างสงบสุขกันเลย...