วันศุกร์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2561

ใจที่โล่ง

ใจที่โล่ง
กรุงเทพฯเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย จากทุกถิ่นทั่วไทยมุ่งหน้ามารวมกองกันอยู่ที่นี่ ทุกตรอกซอกซอยมีผู้อาศัยอยู่ รถรามากมีจนถนนไม่เพียงพอให้สัญจร เฉพาะอย่างยิ่งในทุกวันทำงาน เราต่างต้องช่วงชิงพื้นที่ว่างไว้ครอบครอง ชีวิตคนเมืองจึงดูจะเหนื่อยล้าและมีแต่ความเห็นแก่ตัว ชีวิตใครชีวิตมัน เพราะลำพังชีวิตฉันยังจะเอาไม่รอดในวันที่ทุกคนต่างมีวันหยุดยาวเหมือนกัน โดยพร้อมเพรียงต่างเรียงหน้ากลับสู่ภูมิลำเนา เป็นเวลานัดหมายประจำปี ย้ายรถที่ติดในเมืองไปติดที่อื่นดูบ้าง ปล่อยให้ถนนในกรุงเทพฯ ที่รับศึกหนักมาเป็นแรมปีได้มีวันว่าง ๆ โล่ง ๆ บ้าง ถนนที่โล่งไปไหนมาไปไหนได้สะดวกคนที่รักการอยู่ในเมืองช่วงเวลาแบบนี้จึงรู้สึกเป็นสุขเหลือเกิน มีช่วงชีวิตที่ไม่ต้องแก่งแย่งแข่งขันเอาเป็นเอาตาย ปล่อยชีวิตดำเนินไปแบบช้า ๆ ผ่อนคลายลงบ้าง


ยิ่งเมืองเงียบ ๆ ทำให้เรามีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้น มีเวลาลงนั่งสำรวจตรวจสอบตัวเอง บนความวุ่นวายเรามักพบความทะยานอยาก บนความมากมายมีความกระหายหลงตัวตน จนทำให้เกิดค่านิยมอวดดีอวดเก่งอวดเบ่ง คนเมืองนับวันยิ่งแรงยิ่งคิดว่าตัวเองสำคัญสุด ๆ ใหญ่โตสุด ทำอะไรก็ได้ สิ่งเหล่านี้อยู่คู่กับสังคมเมืองที่กำลังจะกลับสู่สภาพเดิม ๆ หลังจากที่โล่ง โปร่งสบายอยู่ไม่กี่วัน หลายคนทำตัวเหมือนพ่อไก่ในนิทานเรื่องนี้

มีไก่อยู่ครอบครัวหนึ่ง อาศัยอยู่ในวัดเซนประเทศญี่ปุ่น หัวหน้าครอบครัวเป็นผู้บริหารที่เก่งมาก กางปีกปกป้องภรรยาและลูกๆทุกตัว อยู่กันมาอย่างมีความสุข
ทุก ๆ เช้าเวลาตีห้า พ่อไก่ก็จะบินขึ้นไปเกาะบนกิ่งไม้ แล้วโก่งคอขัน เสียงก้องไปทั้งพงไพร พ่อไก่ขันไปเรื่อย ๆ จนพระอาทิตย์ขึ้นมาฉายแสง ส่องสว่างไปทั้งสากลโลกพ่อไก่มีความสุขมาก เขาชื่นชมแสงตะวัน พอ ๆ กับความรู้สึกภูมิใจ เขาคิดว่า เพราะฉันขัน ตะวันจึงขึ้น
ตะวันขึ้นไปถึงยอดเขา พ่อไก่จึงบินกลับลงมา คลุกคลีอยู่กับลูกเมียพ่อไก่ทำหน้าที่มาเนิ่นนาน...นานเหลือเกิน จนวันหนึ่ง เขาเริ่มรู้สึกว่า เขาเริ่มเหนื่อย ร่างกายเขาตรากตรำกับงานหนักเกินไป แต่เมื่อถึงเวลา เป็นหน้าที่ที่พ่อไก่จะต้องบิน เขาบินขึ้นไปจนถึงกิ่งไม้แต่ก็หมดแรงร่วงหล่นลงมา
ลูกชายซึ่งเป็นไก่โต้งรุ่นใหม่ไฟกำลังแรง เห็นดังนั้น ก็เข้าไปประคอง “ถ้าพ่อไม่ไหว วันนี้ผมขอขันแทน”
“น้ำหน้าอย่างแก” พ่อไก่ยืดอกชี้หน้าลูกชาย
“ถ้าขัน ตะวันจะขึ้นหรือ หัดดูเงาตัวเองเสียบ้าง” เมื่อตวาดให้ลูกชายไฟแรงกลัวหัวหดแล้ว พ่อไก่ก็แข็งใจ บินขึ้นไปอีก คราวนี้เขาไม่เพียงเกาะกิ่งไม้ได้ เขายังขันได้เป็นครั้งสุดท้าย แล้วก็หมดเรี่ยวแรงตกลงมา แสดงอาการใกล้ตาย
พ่อไก่ยังเหลือเรี่ยวแรงเรียกประชุมไก่ลูก ไก่เมีย สั่งเสียให้ลูกเมียเตรียมรับสถานการณ์ เขาบอกว่านับแต่นี้ต่อไป เมื่อพ่อไก่อย่างเขาไม่ขัน ดวงตะวันก็จะไม่ขึ้น เมื่อตะวันไม่ขึ้น โลกก็จะเข้าสู่กลียุค จึงขอให้เมียและลูกดูแลกันให้ดี เพราะต่อไปนี้จะต้องอยู่กันอย่างยากลำบาก เพราะอีกไม่ช้า โลกก็จะวิบัติสั่งเสียจบแล้ว ไก่ผู้พ่อก็ล่วงลับดับขันธ์

 นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่ามีคนมากมายในโลกนี้ ที่ป่วยเป็นโรคสำคัญตนผิด มีความคิดฝังลึกว่า “ตัวฉันสำคัญที่สุด” ขาดฉันเสียคนหนึ่ง ทุกอย่างในบ้านเมือง ในองค์กรในบริษัท ก็จะดำเนินต่อไปไม่ได้คนพวกนี้ เกิดมาเพื่อแบกโลกไว้บนบ่า มากกว่าเกิดมาเพื่อเหยียบโลกเล่น ในโลกนี้ไม่มีใครจะทุกข์หนักหนาสาหัสเท่าคนป่วยโรคนี้อีกแล้วขณะที่เขาคิดว่าโลกนี้ขาดเขาไม่ได้ มองไปอีกด้าน โลกกลับไม่เคยรู้สึกว่า ขาดเขาแล้วจะหมุนต่อไปไม่ได้เขาไม่เคยคิดสักนิด ก่อนจะมีเขา ชาวโลกก็อยู่กันมาได้ สรรพสิ่งในโลกล้วนดำเนินของมันไปตามปกติแม่น้ำก็ยังคงรินไหล ตะวันก็ยังคงฉายส่อง หยาดฝนยังคงโปรยสาย นกยังคงร้องเพลง และดอกไม้ก็ยังคงผลิบาน ธรรมชาติของสรรพสิ่งล้วนเกิดขึ้นดำเนินไปไม่เคยหยุดกระแสการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง (นิทานสอนใจ : ท่าน ว.วชิรเมธี )



เช้าของวันที่สองของปี ได้มายืนริมแม่น้ำเจ้าพระยามารอรับแสงแห่งวันใหม่ ในใจก็ไตร่ตรองเพื่อลดลาความผยองของตัวเองลงบ้าง สายลมเย็น ๆ โชยผ่านมา วันนี้เมื่อปีที่แล้วก็เช่นกัน มายืนอยู่ตรงนี้ แต่ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงไป สีสันของฟ้าวันนั้นก็ต่างจากฟ้าวันนี้ สายน้ำที่ไหลผ่านไปแม้จะเป็นลำน้ำเดิม แต่ก็ยังมีระดับที่ต่างกัน หลายเหตุการณ์ย้อนกลับเข้ามา ใช่หรือไม่ วันเวลาเปลี่ยนไป เราต้องเปลี่ยนแปลงตัวตน พัฒนาจิตวิญญาณให้สูงขึ้นมาบ้าง ใจที่ว่างโล่งปลอดโปร่ง ทำให้เรารู้สึกตัว อยู่กับตัวตน ถนนที่โล่งเรายังรู้สึกชอบรู้สึกดี แล้วใจที่โล่งยิ่งจะทำให้เราพบกับความสุขและความงามของชีวิต เริ่มต้นปีทำใจให้โล่ง ๆ จะได้ลดตัวตนเพิ่มความเป็นคนที่มีคุณค่าให้ตัวเรากันนะครับพี่น้อง...

ไม่มีความคิดเห็น: