มองทุกข์ให้เป็นสุข
ความสุขเล็ก
ๆ ที่มาพร้อมกับปีใหม่ในแทบทุกครั้ง คือ การได้มีเวลาสังสรรค์กับครอบครัว
ได้มีเวลามาพบปะพร้อมหน้าพร้อมตากัน มีเวลานั่งกินข้าว นั่งปิ้ง ๆ ย่าง ๆ
ได้ทำนั่นทำนี่ร่วมกัน มีเวลาหัวเราะเคล้าน้ำตากันอีกคราว มีช่วงที่จะอวยพรให้ชัย
แลกของขวัญ มอบกำลังใจให้กัน มีโอกาสกล่าวคำขอโทษต่อกันในความพลาดพลั้ง
ในความละเลย ละเมิด และแสดงความตั้งใจที่จะปฏิบัติต่อกัน
แม้ว่ามันอาจจะเป็นความตั้งใจเดิม ๆ เหมือนกันในทุก ๆ ครั้ง แต่เชื่อเถอะว่า ในใจของเราล้วนปรารถนาที่จะเป็นเช่นนั้นจริง
ๆ แต่อาจจะเป็นด้วยสภาพแวดล้อม อาจจะมีเหตุปัจจัยที่ทำให้หลงลืมไปชั่วขณะ
พอเริ่มต้นปีมีเวลาคิดก็ตั้งใจกันใหม่ มันก็เป็นเช่นนี้แหละชีวิต.
..
ในช่วงเวลาปีใหม่
หลายคนที่พบเจอก็คงยังมีชีวิตที่ปะปนไปด้วยทุกข์ สุข ใครที่หวังมากก็ทุกข์มาก
ส่วนใครที่มองโลกเป็น ก็จะมองเห็นความจริงในทุกสิ่ง ชีวิตย่อมคละเคล้ากัน เมื่อมีทุกข์ทำให้สุขก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปนัก
ปล่อยวางชีวิตตามลิขิตสวรรค์ เชื่อมั่นไว้วางใจในพระ อย่าไปสะสมทุกข์ให้มากมาย
ต้องสลายให้กลายเป็นความสุข และในทุกชีวิตของแต่ละคนทุกข์สุขก็ไม่เหมือนกัน
เราเลือกที่จะสุขได้ ในสิ่งที่เราเป็นอยู่ สิ่งที่มี บางทีที่เราอยู่ คือ ที่ที่สุขที่สุดสำหรับเราก็ได้
เคยใช่ไหม เวลาที่เราต้องเดินทางไปค้างแรมในที่อื่น มีความรู้สึกว่า เตียงนอนไม่สบายเหมือนเตียงที่บ้านเรา
ห้องน้ำที่เข้า ที่อาบก็รู้สึกไม่คุ้นสุขเหมือนที่เคย ๆ บางทีที่เราดิ้นรนกันไปนั้น
เรากำลังก้าวสู่ความทุกข์อีกครั้งหนึ่งแบบไม่รู้ตัว
เจ้าของโรงแรมผู้หนึ่ง
พบเห็นว่า ทุกๆวันจะมีชายพเนจรนั่งอยู่บนม้านั่งในสวนสาธารณะ
แล้วเอาแต่จ้องมองโรงแรมของเขา ด้วยความข้องใจ มีวันหนึ่งเขาทนไม่ได้จึงเดินไปถามชายพเนจรนั้นว่า
“ขอโทษ
พี่ชาย ผมใคร่อยากรู้ว่า เพราะเหตุใดคุณถึงจ้องมองโรงแรมนั้นทุกวัน”
ชายพเนจรพูดว่า
“เพราะว่าโรงแรมหลังนั้นงดงามจริง
ๆ ถึงแม้ว่าตัวผมไม่มีอะไร นอนอยู่บนม้านั่งนี้ แต่ว่าผมจ้องมองมันทุกวัน
กลางคืนก็จะฝันว่า ตนเองได้อยู่ภายในโรงแรมนี้”
เจ้าของโรงแรมได้ยินเช่นนั้น
มีความรู้สึกภาคภูมิใจอย่างยิ่ง จึงพูดว่า
“พี่ชาย
คืนนี้ผมจะทำให้คุณสมหวังตามปรารถนา ผมจะให้คุณเข้าอยู่ในโรงแรม
อีกทั้งเป็นห้องที่ดีที่สุดฟรี ๆ หนึ่งเดือน”
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา
เจ้าของโรงแรมอยากรู้ว่า สถานการณ์ของชายพเนจรเป็นอย่างไร แต่กลับพบว่าคนผู้นี้ได้ย้ายออกไปจากโรงแรมแล้ว
กลับไปที่ม้านั่งของสวนสาธารณะดังเดิม เจ้าของโรงแรมจึงถามชายพเนจรว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
ชายพเนจรบอกว่า
“ก่อนหน้าที่ผมเคยนอนบนม้านั่งตัวนี้
และฝันว่าได้อยู่ภายในโรงแรม มันรู้สึกดีมาก ทว่าเมื่อได้ไปนอนอยู่ในโรงแรมจริง ๆ
ผมกลับฝันว่า ตนเองได้กลับมาอยู่บนม้านั่งที่แข็งกระด้างนี้ มันช่างน่ากลัวจริง ๆ
ดังนั้น ผมจึงอยู่ต่อไปไม่ได้”
เจ้าของโรงแรมฟังจบ
หัวเราะด้วยเสียงอันดัง แล้วพูดว่า
“ที่แท้
คนเรายามที่ไม่มีก็เป็นทุกข์ ยามที่มีแล้วก็เป็นทุกข์”
เป็นจริงแท้
ทุกข์ของคน “มี” หรือ “ไม่มี” ไม่เกี่ยวข้องกัน แต่กับเป็นเรื่องการ “ยึดติด”
ยามที่ไม่มี รู้สึกอิจฉา ยามที่มีแล้วก็วิตกกังวลกลัวจะสูญเสียไป
จึงล้วนเป็นทุกข์
หลายคนพะว้าพะวงว่าปีนี้เป็นปีชงหรือไม่ชง
เลยงง ๆ กับชีวิต วิตกจริต วัน ๆ ไม่เป็นอันทำอะไร วิ่งวุ่นเที่ยวหาสถานที่ไปสะเดาะเคราะห์แก้ชง
เห็นชงกันทุกปี ที่ร่ำรวยขึ้นน่าจะพวกหมอดูทั้งหลาย แต่ละคนก็ว่าปีนั้นชงปีนี้แย่
ไม่เห็นจะตรงกันสักคน ยิ่งเราหลงไปกับสิ่งเหล่านี้ เราก็จะลืมความสุขตรงหน้าเรา
เราก็จะมัวแต่ปล่อยเวลาให้หมดไปกับความผิดหวังที่ไม่ได้ดังหวัง แต่ไม่เคยลงมือทำความดี
เอาเข้าจริงชีวิตของแต่ละคนมีความสุขอยู่แล้ว มองมันให้เห็น หามันให้เจอ เผลอ ๆ
มันอยู่แค่ปลายจมูกเรานั่นแหละ เลิกยึดติดความคิดค่านิยมตามกระแสคนอื่น
มีที่ยืนเป็นของตัวเราเอง สุขกับสิ่งที่เรามี สิ่งที่เราหามาได้ แล้วเมื่อถึงวันที่เราอาจจะประสบทุกข์ภัย
เราก็จะพบกับความสุขและมีรอยยิ้มได้ สุขอยู่ที่ใจ ใครจะชง จะชัง
ทำดีมีสุขนะครับ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น