วันศุกร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2560

จันทร์เต็มใจ

จันทร์เต็มใจ


ค่ำคืนของวันที่ 3 ธันวาคมที่ผ่านมา เป็นวันที่ดวงจันทร์เต็มดวง ส่องสว่างกระจ่างใสที่สุด เป็นวันที่โลกและดวงจันทร์เคลื่อนมาอยู่ใกล้กัน เราจึงเห็นดวงจันทร์ดวงใหญ่และสว่างมาก นับว่าเป็นความโชคดีอย่างยิ่งที่คืนนั้นมีภารกิจอยู่ในต่างที่ต่างถิ่น แถวจังหวัดนครปฐมและราชบุรี มีเวลาออกมาที่โล่งแจ้งแหงนหน้าสบตากับจันทร์เจ้า ที่ตรงนี้ความสว่างจากหลอดไฟฟ้าตามอาคารก็ไม่มากมายเท่าในเมืองหลวง ไหนจะตึกสูงรบกวนและบดบังแสงธรรมชาติ เป็นอุปสรรคต่อการสบตากับดวงจันทร์ฉาย จึงได้ถือโอกาสมายืนกลางแจ้งอาบแสงจันทร์กับมิตรสหาย มีเวลาแบ่งปันความทุกข์สุขในมิตรภาพระหว่างกัน ในที่มืดจึงกระจ่าง คืนที่แสงจันทร์อิ่มเอมเช่นนี้ ก็คงมีอีกหลายชีวิตที่ต้องทุกข์ลำเค็ญ อีกหลายครอบครัวคงจมอยู่ในความมืด รอคอยความหวังถึงวันพรุ่งนี้ แม้กระทั่งหมู่มิตรที่เรารู้จักก็อาจจะยังต้องการแสงนวลชวนให้สุขอยู่บ้าง



สังคมวันนี้มักกดดันให้เราต่างคนต่างอยู่ ต่างหมู่ต่างเหล่า เราเขาไม่เข้ากัน เราจึงยึดถือประโยชน์ตนเป็นที่ตั้ง ไม่ค่อยจะสนใจกัน ทุกข์ใครทุกข์มัน แม้กระทั่งการวอนขอต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เรายังวิงวอนเพื่อตัวเองมากกว่า เช่นนี้แล้วชีวิตที่เกิดมาจะหาประโยชน์อันใดได้เล่า???? ในขณะที่แหงนหน้ามองขึ้นบนฟ้าหาจันทร์นั้น ใจก็หวนถึงบทวอนจันทร์ของคนสมัยก่อนที่ว่าไว้
จันทร์เอ๋ยจันทร์เจ้า     ขอข้าวขอแกง
  ขอแหวนทองแดง        ผูกมือน้องข้า
  ขอช้างขอม้าให้น้องข้าขี่ ขอเก้าอี้ให้น้องข้านั่ง
  ขอเตียงตั่งให้น้องข้านอน ขอละครให้น้องข้าดู
  ขอยายชูเลี้ยงน้องข้าเถิด ขอยายเกิดเลี้ยงตัวข้าเอง
ใช่หรือไม่ เราต้องวอนขอเพื่อผู้อื่นให้มากกว่าตัวเอง แต่คนสมัยนี้มักจะวอนขอเพื่อตัวเอง อยากได้ อยากมี อยากเป็น เพื่อสนองตัวตน โดยไม่ได้คำนึงถึงผู้อื่นกันเลย แม้กระทั่งในวันนี้ที่เรามีพร้อม มีความเก่ง มีความรู้ มีความเชี่ยวชาญมากขึ้น เราก็ไม่ได้นำสิ่งเหล่านี้มาก่อประโยชน์ต่อส่วนรวม ซ้ำร้ายหากเกิดขาด เกิดทุกข์ เราก็มักกล่าวโทษผู้อื่นไม่เว้นแม้กระทั่งโทษดินโทษฟ้า โทษพระเจ้า ยกเว้นโทษตัวเอง

ในประเทศจีนเมื่อหลายร้อยปีก่อน ชายตาบอดคนหนึ่งไปเยี่ยมเพื่อนที่บ้าน หลังจากพูดคุยกันจนค่ำเขาก็ขอตัวกลับบ้าน เพื่อนจึงยื่นโคมให้ชายตาบอด ชายตาบอดแปลกใจ บอกว่าเขาไม่จำเป็นต้องใช้มันเพราะตาบอด เพื่อนตอบว่า “ถึงคุณตาบอดก็จริง แต่คนอื่นยังตาดี ถ้าคุณถือโคมนี้เอาไว้ เขาก็จะไม่มาเดินชนคุณ” ชายตาบอดจึงรับไป แต่ระหว่างทางปรากฏว่ามีคนมาเดินชนคนตาบอดจนล้ม เขาโกรธมาก ต่อว่าคนที่เดินมาชน ว่า “ตาบอดหรือไง ไม่เห็นหรือว่าฉันถือโคมอยู่” ชายผู้นั้นก็ขอโทษขอโพย และกล่าวว่า “สงสัยโคมที่คุณถือมันดับไปนานแล้ว” เรื่องก็จบเท่านี้ เป็นนิทานสั้นๆ แต่ก็สอนใจได้ดีทีเดียว
นิทานเรื่องนี้สอนเราว่า อย่านึกถึงประโยชน์ของตนเพียงอย่างเดียว ให้นึกถึงประโยชน์ของคนอื่นด้วย ขณะเดียวกันเวลามีปัญหาอะไรก็อย่ามัวโทษคนอื่นอย่างเดียว ให้ย้อนกลับมาดูตัวเองด้วย ชายตาบอดไม่จำเป็นต้องใช้โคมก็จริง แต่มันเป็นประโยชน์ช่วยให้คนอื่นมองเห็นทาง จะได้ไม่เดินชนชายตาบอด บางสิ่งบางอย่างอาจไม่จำเป็นสำหรับเรา แต่มันอาจเป็นประโยชน์ต่อคนอื่น อย่างคนบางคนอาจจะอยู่กับความอึกทึกครึกโครมได้ แต่ก็ไม่ควรไปสร้างความอึกทึกให้กับใคร คนอื่นเขาอาจจะต้องการความสงบก็ได้ อันนี้เป็นคุณธรรมพื้นฐานในการอยู่ร่วมกันในสังคม คือรู้จักเผื่อแผ่ถึงคนอื่น หรือมองในมุมของคนอื่นบ้าง แต่ขณะเดียวกันเวลามีปัญหา เราก็อย่ามองไปที่คนอื่นอย่างเดียว ให้ย้อนกลับมามองที่ตัวเองด้วย เพราะสาเหตุอาจเกิดที่ตัวเราเองก็ได้ อย่างชายตาบอด โทษคนที่มาเดินชนเขา แต่ที่จริงเป็นเพราะโคมของเขามันดับไปนานแล้วต่างหาก
นิทานเรื่องนี้บอกให้เราเห็นถึงนิสัยใจคอของคนส่วนใหญ่ คือเห็นแต่ความผิดของคนอื่น แต่ไม่เห็นความผิดพลาดของตัวเอง ขณะเดียวกันก็เห็นแต่ประโยชน์ของตัวเอง ลืมนึกถึงประโยชน์ของผู้อื่น ตรงข้ามกับคนดีมีธรรมะ เขาจะไม่ได้มองเพียงแค่ประโยชน์ของตัว แต่จะคำนึงถึงประโยชน์ของคนอื่นด้วย ส่วนเวลามีปัญหาก็จะไม่มัวโทษคนอื่นอย่างเดียว แต่จะย้อนกลับมาดูตัวเองด้วย นี้เป็นคุณธรรมพื้นฐานของคนดี จะว่าไปแล้วการคำนึงถึงประโยชน์ของคนอื่นนั้น ก็ส่งผลดีต่อตัวเราเองด้วย (ส่วนหนึ่งจากบทความเรื่อง เห็นนอก เห็นใน โดยพระไพศาล วิสาโล)


เวลาใกล้สิ้นปีอีกครั้งหนึ่งกำลังจะมาถึง ดวงจันทร์มีขึ้นมีลงมีมืดมิดมีสว่าง แต่ไม่เคยจะละทิ้งหน้าที่เพื่อผู้อื่น เต็มใจในการให้ความงามในยามมืดมิดเสมอ ในเวลาเช่นนี้สิ่งที่เราต้องคำนึงถึงบ่อย ๆ ทบทวนวันเวลาที่ผ่านมา เราได้เติมเต็มให้กับผู้อื่นมากน้อยเพียงใด เป็นผู้ให้หรือเป็นผู้รับมากว่ากัน เป็นผู้เห็นใจเต็มใจเพื่อคนรอบข้าง หรือเป็นเพียงคนที่คอยเรียกร้องแต่ฝ่ายเดียว ไม่มีความสุขใดเทียบเท่ากับความสุขของผู้ที่เต็มใจให้ หากไม่เชื่อก็ลองทำดู...

ไม่มีความคิดเห็น: