เที่ยวแรก
เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ต้องมาสนามบินดอนเมือง
แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนทุกครั้งที่มา เหตุเพราะว่า
การมาครั้งนี้มิได้มาเพื่อเดินทางไปที่ไหน แต่เป็นการมาเพื่อส่งน้องชายไปร่วมต้อนรับสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสที่ประเทศพม่า
หรือเมียนมาร์ ซึ่งมีการนัดหมายกับกลุ่มคณะผู้ร่วมเดินทางในตอนเช้ามืด
และเนื่องจากเป็นครั้งแรก ๆ ที่น้องคนนี้ต้องเดินทางออกนอกประเทศเพียงลำพังด้วยเครื่องบิน
เป็นกังวลว่าจะทำอะไรไม่ถูกจึงอาสามาส่ง
โดยบอกว่าจะไม่ขับรถไปเพราะอาจจะมีความลำบากในการหาที่จอด
และจะทำให้ไม่สามารถช่วยดูแลแนะนำเรื่องการเช็คอินและการพบกับคณะที่ร่วมเดินทางไปในงานนี้ได้
จึงตกลงกันว่าจะไปแท็กซี่ตอนตีสามครึ่ง ซึ่งเวลานัดหมายคือตีสี่ครึ่ง
เมื่อจัดการให้น้องได้ตั๋วได้พบกับคณะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เราก็กลับ
ดูเวลาก็เกือบ ๆ จะตีห้า เช็คเวลารถเมล์พิเศษจากสนามบินเปิดบริการ 7 โมงเช้า รถไฟฟ้าเที่ยวแรกตีห้าสิบห้า
เลยตัดสินใจเดินออกมารอรถเมล์หน้าสนามบิน (ถิ่นคุ้นเคย เพราะเคยอาศัยอยู่แถวนี้มาก่อนจึงรู้ทางดี)
ถนนค่อนข้างโล่งทีเดียว
สักพักมีรถเมล์สาย 29 วิ่งมา สายนี้จะผ่านสถานีรถไฟฟ้าที่สวนจตุจักร คิดคำนวณเวลาแล้วน่าจะไปถึงพอดีเที่ยวแรกของรถไฟฟ้า
ในขณะที่ขึ้นไปนั้นก็คิดว่านี่เป็นเที่ยวแรกของรถเมล์คงไม่ค่อยมีผู้โดยสารสักเท่าไร!!!
แต่ที่ไหนได้ เต็มคัน ถึงกับต้องยืนเบียดเลยทีเดียว
สังเกตเห็นผู้คนที่นั่งอยู่ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ บางคนมีถุงข้าวปลาอาหารติดมือมาด้วย
ความคิดผุดขึ้นหลายอย่าง ประเทศเรายังมีคนที่ต้องดิ้นรนหากินตั้งแต่เช้าแบบนี้อีกมากมาย
แต่ละคนพยายามที่จะออกจากบ้านแต่เช้าเพื่อหลีกหนีรถติด ใช่หรือไม่
เราคงโชคดีกว่าคนอื่นอีกหลายต่อหลายคน แม้จะไม่ร่ำรวยล้นฟ้าแต่ก็ไม่เป็นหนี้เป็นสินใคร
มีชีวิตที่อยู่ได้สบาย ๆ ไม่เดือดร้อน คนที่ได้นั่งก็นั่งหลับกันเกือบทุกคน
ในเวลาปกติแบบนี้เราคงนอนหลับสบายอยู่บนเตียง ในห้องแอร์เย็น ๆ นี่หรือวิถีคนเมืองที่ต้องเริ่มต้นก่อนตะวันและจบลงตรงที่บ้านโดยมิได้เห็นการร่ำลาของแสงแห่งวันเลย
ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงสถานีรถไฟฟ้า
BTS จตุจักร สถานีเพิ่งเปิด
ประตูเหล็กเปิดอยู่ด้านเดียว ทีแรกคิดว่ายังไม่ได้เปิดให้บริการ เมื่อขึ้นมาถึงขบวนรถเที่ยวแรกจอดรออยู่
เริ่มมีผู้คนนั่งเกือบจะเต็มขบวน แม้เราไม่ได้เป็นคนแรกที่มาถึงแต่ก็ร่วมอยู่ในขบวนของเที่ยวแรก
จากนั้นก็มาต่อรถอีกขบวนที่สยามเพื่อมาต่อรถเมล์ BRT เพื่อกลับบ้าน
เป็นการเดินทางที่ใช้รถสาธารณะคุ้มค่าจริง ๆ มาถึงสถานีช่องนนทรีก่อน 6 โมงเช้า ก็เพิ่งรู้ว่าบริการรถ BRT นี้เที่ยวแรกเริ่ม 6 โมงเช้า ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว รออีกประมาณสิบนาที จึงได้เข้าสถานีและได้ขึ้นรถ มีผู้โดยสารเพียง
3-4 คน เนื่องจากตรงนี้ไปถึงบ้านถือว่าเป็นขาออกเมืองจึงไม่ค่อยมีผู้โดยสาร
มาถึงสถานีใกล้บ้านเหลือเพียง 2 คน เช้านี้จึงถือว่าเราเริ่มต้นชีวิตด้วยในเที่ยวแรกของการเดินทาง
แล้วในถนนชีวิตเรา
เที่ยวแรกของเราเป็นเช่นไร เราต่างก็อยากเป็นที่หนึ่ง
เป็นคนแรกในทุก ๆ เรื่องเสมอ แล้วเราก็ภาคภูมิที่ได้เป็นคนแรก ๆ
ถือว่าประสบความสำเร็จในชีวิต แต่ก็มีหลายคนหวังเที่ยวแรกเพื่อหลีกหนีความยากลำบาก ไม่ได้หวังไกลไปให้ถึง ไปให้ทันเป็นอันเพียงพอ
หรือ บางคนเที่ยวแรกคือกิจวัตรประจำวันที่ไม่มีทางเลือก ใช่หรือไม่
ในชีวิตจริงเราแต่ละคนต่างก็เคยเป็นคนเที่ยวแรกด้วยกันทั้งนั้น
เที่ยวแรกของเราอาจจะเต็มไปด้วยความสุขความร่าเริงบันเทิงใจ
เที่ยวแรกของอีกหลายล้านคนอาจจะเต็มไปด้วยความทุกข์ยาก
แต่อย่าลืมว่าเที่ยวแรกนั้นจะนำไปสู่เที่ยวต่อ ๆ ไปเสมอ ถ้ามีความสุขก็จงเก็บนำความสุขให้คงอยู่ตราบนานเท่านาน
และหากเที่ยวแรกมีความยากลำบากก็จงพยายาม สร้างความหวัง บนหนทางข้างหน้า เพื่อสักวันหนึ่งเที่ยวแรกแห่งความสุขจะบังเกิดขึ้นในไม่ช้า
สิ่งสำคัญอื่นหมด เที่ยวแรกของเราได้ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ใดบ้าง???อย่าเป็นเที่ยวแรกที่เบียดบังเอาเปรียบผู้อื่น
สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิส เสด็จเยือนประเทศเมียนมาร์เป็นครั้งแรกของพระองค์ สำนักข่าวต่างก็จับจ้องและพยายามโยงเข้าสู่ประเด็นทางการเมือง
จนกระทั่งติดตามดูว่าพระองค์จะตรัสคำว่า “โรฮินจา” หรือไม่
นี่ก็ช่างห่างไกลกับความเป็นจริงและไม่เข้าใจถึงพระภารกิจแห่งรักที่พระองค์ทรงกระทำ
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสเคยตรัสว่า “อย่าหาวิธีการให้เขามานับถือศาสนาของเรา
ตรงกันข้าม เราต้องช่วยให้ผู้อื่นเจริญชีวิตที่ดี
ให้ความรักของพระเจ้าผ่านทางตัวเราไปสู่ผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ยากไร้” และได้แสดงสุนทรพจน์ต่อหน้าผู้นำในรัฐสภาเมียนมาร์ตอนหนึ่งว่า “สมบัติอันล้ำค่าที่สุดของเมียนมาร์ คือ ประชาชนของตน
และพวกเขาได้รับความทุกข์ทรมานจากความขัดแย้ง และการสู้รบที่เกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน
สร้างความแตกแยกจนหยั่งรากลึก ศาสนาจึงมีส่วนสำคัญที่จะฟื้นฟูสันติภาพและรักษาบาดแผลเหล่านี้
ความแตกต่างทางศาสนา ไม่จำเป็นต้องเป็นต้นเหตุของการแบ่งแยกและความไม่ไว้วางใจกัน แต่ต้องเป็นพลังแห่งความสามัคคี
และการให้อภัยกัน”
นี่เป็นเที่ยวแรกที่สันติภาพได้เกิดขึ้นแล้ว
เป็นเที่ยวแรกที่งดงามและน่าจดจำ เที่ยวแรกเพื่อผู้อื่นย่อมมีคุณค่ามากกว่าเที่ยวแรกที่แย่งชิงมาเพื่อตัวเอง….
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น