คนทำ(ธรรม)
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีเหตุต้องใช้บริการแท็กซี่อยู่เกือบจะทุกวัน
แน่นอนเมื่อขึ้นไปแล้วการพูดคุยกันระหว่างคนขับกับผู้โดยสารย่อมมีไม่มากก็น้อย
บางคันเมื่อพูดกันได้นิดหน่อยก็มักจะวกไปเรื่องการเมืองและวิพากษ์วิจารณ์คนโน้นคนนี้
ทางที่ดีก็พยายามเปลี่ยนเรื่องคุย ถึงที่สุดก็ทำเป็นก้มหน้าก้มตาเล่นมือถือ
อ่านข่าว เพราะใจหนึ่งก็รู้สึกว่า คนเรามักเลือกที่จะฟังความข้างเดียวแล้วก็นำมาพูดให้ดูว่าข้อมูลที่ได้รับมานั้นเหนือกว่า
เจ๋งกว่า ในสังคมก็คงเป็นแบบนี้กันมาก คือถนัดที่จะกล่าวว่าผู้อื่น
เหมือนกับการดูกีฬาหน้าจอ นั่งดูข้างสนาม ตาดูหูฟังปากก็พร่ำบ่น
ทำไมไม่เล่นแบบนั้นแบบนี้ ใช่หรือไม่ คนดูพูดง่ายกว่าคนที่เล่นหรือคนที่ลงมือทำจริง
คนที่อยู่ในสถานการณ์ย่อมเต็มไปด้วยสิ่งแวดล้อม ในสนามมีเวลาตัดสินใจน้อยนิด
เพราะสิ่งที่เห็นไม่ได้เป็นมุมที่กว้างอย่างกล้องโทรทัศน์
ไม่ได้อยู่ในมุมที่จะเห็นทุกอย่าง เฉกเช่นการดำเนินชีวิตก็เหมือนกัน
คนที่กระทำการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่นั้น
บางครั้งบางหนมันก็มีปัจจัยในตัวมันเองมากมายเกินกว่าคนอื่นจะเข้าใจได้ แต่... คนเรามักเลือกที่จะเข้าใจในมุมที่ตัวเองมอง
แล้วก็ใส่ความคิดเห็นเพื่อให้ตัวเองดูดีกว่าผู้อื่น
สังคมเรานี้จึงเต็มไปด้วยคำพูดลอย ๆ เต็มไปด้วยความคิดเห็นที่ไม่เป็นรูปเป็นร่าง
สร้างสิ่งต่าง ๆ ด้วยคำพูดนั้นมันง่าย ถ้ากลายมาเป็นคนทำอาจจะเริ่มต้นอย่างไรก็ยังไม่รู้เลย
คนเราก็มักจะหลงในคำพูดที่ดี
พูดเพราะ ๆ แล้วก็เชื่อตามได้ง่าย คนขับแท็กซี่คันหนึ่งเล่าประสบการณ์ให้ฟังว่า “คนเราสมัยนี้เชื่อใจกันยาก เคยมีคนแก่คนหนึ่งเรียกให้ไปส่งแถวมีนบุรี
เห็นห้อยพระเครื่องเยอะก็เลยคุยกันถูกคอ ตาลุงคนนั้นก็นำพระรุ่นเก่ามาก บอกว่าองค์นี้ได้เมื่อตั้งแต่ตอนอายุ
17 ตอนนี้ลุงอายุ 70 กว่าแล้ว คนขับก็ตาลุกวาวที่จะได้เห็นพระห้อยคอรุ่นเก่าแก่
ตาลุงก็เล่าถึงสรรพคุณไม่ว่าจะเป็นที่มา กรอบที่เลี่ยมลายเถาวัลย์เก่ามาก ถ้าเจอคนที่ถูกใจจะให้เช่า
(ซื้อ) เก็บไว้ คนขับก็คำนวณในใจทันทีว่านี่น่าจะเป็นพระรุ่นเก่าที่มีอายุมากกว่า
60-70 ปีทีเดียว ยังไม่ทันไรตาลุงก็ถามขึ้นมาทันทีว่า ‘พ่อหนุ่มสนใจไหมล่ะ คุยถูกคอดีลุงจะให้เช่า (ซื้อ) จะได้เก็บไว้บูชาเป็นศรีเป็นบารมี’
คนขับก็บอกว่าไม่มีเงินหมื่นเงินแสนที่จะเช่าบูชาพระเครื่องดี ๆ หรอก
ตาลุงก็บอกว่า เห็นว่าเป็นคนดีมีเท่าไรล่ะ พันสองพันลุงก็จะให้ คนขับเล่าต่อว่า ผมมีติดตัวได้มาจากการขับมาทั้งวันอยู่
600 บาท ตาลุงคนนั้นก็ทำเป็นเงียบดูเชิงสักพักหนึ่ง แล้วก็บอกว่า ‘สงสารคนดี ๆ อย่างนี้ มีเท่าไรก็เอามาแล้วกัน
และค่าแท็กซี่ก็ไม่ต้องคิดลุงนะ’
(ค่ารถประมาณ 400) รวมแล้ว 1000 บาทพอดี ด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่องว่าวันนี้โชคดีได้พระเครื่องรุ่นดังรุ่นเก่ามาครอบครอง
จากนั้นก็แวะเข้าปั้มเติมแก๊ส
ด้วยความบังเอิญเห็นเพื่อนคนขับแท็กซี่ 2 คนกำลังเอาพระเครื่องมาส่องดู
และได้ยินว่ารุ่นนี้ได้มาจากลุงคนหนึ่งแกบอกว่ามีองค์เดียวที่เหลืออยู่
อีกคนก็บอกว่าได้มาเหมือนกัน แล้วทั้งสองก็นำมาส่องดู ถึงบางอ้อ ว่าถูกหลอก
คนขับก็ใจแป้วเลย เข้าไปร่วมวงสนทนาเอาพระที่เพิ่งได้มาให้เพื่อนดู แม่เจ้า!!!! เหมือนกันเป๊ะ
สองคนนั้นถูกหลอกมาเหมือนกันหมดไปคนละ 1,500 บาท และก็คงมีอีกหลายรายที่โดนแบบนี้ คนขับบอกว่านี่ขนาดผมดูพระเครื่องพอเป็นนะ
ยังถูกคำพูดที่น่าเชื่อถือของตาลุงคนนั้นเล่นงาน…
ใช่หรือไม่
ในสังคมเราวันนี้ มักจะเชื่อคำพูดมากกว่าการกระทำ
เราจึงกลายเป็นคนที่พูดทุกเรื่อง จริงเท็จไม่รู้ แค่เรื่องที่เพียงได้ยินได้ฟังมา
จำเขามาพูดต่อเป็นฉาก ๆ เป็นเรื่องเป็นราวสร้างความน่าเชื่อถือให้กับตัวเอง ยิ่งผนวกกับโลกที่มีเทคโนโลยีสมัยใหม่
ที่ทำให้เราตกเป็นทาสเป็นเหยื่อของปัญญาประดิษฐ์ (AI) แบบไม่รู้ตัว
กล่าวคือ เวลาที่เราอ่าน เราค้นหาเรื่องอะไร ชอบดูหนังฟังเพลงสไตล์ไหน เสื้อผ้าเครื่องใช้ที่เราชอบค้นหาในอินเตอร์เน็ตก็จะถูกเก็บข้อมูล
และสิ่งที่เราชอบเราใช้บ่อย ๆ ก็จะถูกนำมาเสนอในโซเชี่ยลให้เราได้รับรู้ ขึ้นมาให้เราอ่านแบบอัตโนมัติ
และเราก็จะได้รับข้อมูลในสิ่งที่เราเลือกอยู่อย่างเดียว ทำซ้ำย้ำบ่อย ๆ
ข้อมูลสิ่งเหล่านั้นก็จะเข้าไปฝังในสมอง ใครจะให้ข้อมูลอย่างไรเราก็ไม่เชื่อ
หรือเมื่อเจอคนกลุ่มเดียวกันก็จะยึดโยงกลายเป็นชุมชนที่สุดโต่งไปในที่สุด
แล้วก็ปกป้องกันด้วยคำพูดที่ดูเหมือนว่าเหนือชั้น ว่าเก่ง ว่าเท่ห์ เราจะเห็นได้บ่อยครั้งในโลกเสมือนจริง
เราต้องตระหนักที่จะช่วยกันสร้างคนดีคนมีคุณธรรม
ทำอะไรทำจริง ๆ มากกว่าคนที่เอาแต่พูด เอาดีใส่ตัวเอาร้ายป้ายใส่คนอื่น เพราะโลกวันนี้ก้าวสู่ความขัดแย้งที่มาจากปากเก่งของคนมากเกินไปแล้ว
และด้วยความจริง คนดี ๆ ที่มักทำมากกว่าการพูด
คำมั่นสัญญาจะยังเกิดผลต้องมาจากการกระทำ หาใช่จบเพียงคำพูดที่ให้ไว้ต่อกัน
คนที่มีคุณธรรมยึดมั่นในหนทางธรรม มักให้ความสำคัญต่อการกระทำมากกว่า
ต้องรู้จักเปิดใจให้กว้าง และมีวิจารณญาณ อาศัยการไตร่ตรองชีวิตบ่อยๆ อ่านกาลเวลา
อ่านคน อ่านพระวาจา และทำในสิ่งที่จิตสำนึกบอกว่า “ดี” หากทำไม่ได้จง “เงียบ” และรอคอยเวลาที่เหมาะสมกับเรา
ต้องเสริมสร้างปรีชาญาณให้เข้มแข็ง ไม่ตกเป็นทาสของข้อมูล
ไม่ตกเป็นเบี้ยล่างของโลกวัตถุ รักษาชีวิตพระชีวิตจิตให้แข็งแกร่ง
แล้วลงมือทำดีเท่าที่ทำได้ ลงมือทำ หยุดใช้ปากบ่น คนเราก็เท่านี้แค่ขี้ฝุ่นธุลีจักรวาล
ใจที่ยิ่งใหญ่ดีกว่าเป็นคนยิ่งใหญ่ ปลายทางของเราคือความสงบสุขอันเป็นนิรันดร์