อาจจะไม่ใช่ในสิ่งมองเห็น
ในระยะหลัง ๆ มานี้ มีข้อสังเกตหนึ่งซึ่งก่อให้เกิดความรู้สึกว่า “คนเราวันนี้เป็นอะไรกันหมด”ตั้งแต่บรรดา “สำนัก” ข่าวที่ไร้
“สำนึก” ขึ้นทุกวัน ๆ ปล่อยให้พวกแอดมินเพจเที่ยวหาหัวข้อข่าวที่เรียกเรตติ้ง
เรียกคนเข้ามากดไลค์ เข้ามาอ่าน มาคอมเม้นต์หาข่าวที่แปลกแหวกแนวจากลักษณะทั่วไปของคนไทย
แล้วก็ใส่สีตีความ โดยไม่ได้ระบุว่าเกิดขึ้นที่ไหน ทั้ง ๆ
ที่ส่วนใหญ่แล้วเป็นเหตุการณ์จากต่างประเทศเกือบทั้งนั้น คนอ่านคนเสพก็ไม่ได้เข้าไปอ่านเนื้อหาข่าว
ไม่ได้พินิจพิเคราะห์ขอแค่มีส่วนร่วม แสดงความคิดเห็นส่วนตัวที่คิดว่า เจ๋งสุด
เก่งสุด เพราะคนเราสมัยนี้ชอบตัดสินคนอื่นภายใต้ความคิดของตัวเอง
โดยที่ยังไม่รู้เลยว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร?
ข่าวในประเทศอังกฤษ |
ยุคสมัยนี้เป็นยุคที่ทุกสิ่งทุกอย่างเคลื่อนไหวไปอย่างรวดเร็วกว่าสายลม
และคำพูดปากต่อปากก็กลายเป็นส่งต่อข้อความ เกิดการแพร่กระจายไปไกลยิ่งกว่า ความเท็จถูกสร้างให้กลายเป็นจริงเพียงไม่กี่นาที
กระแสถูกจุดติดง่ายเพราะจริตของคนเราชอบที่จะดูผู้อื่นในแง่ร้ายในด้านลบ พลาดเพียงหนึ่งดึงความดีนับร้อยให้ดับสูญสิ้น
ลงโทษด้วยอคติ ด้วยการกล่าวร้ายแบบไร้ความรับผิดชอบ สนุกปาก สะใจ
บางคนจึงหยิบเรื่องสร้างเรื่องเพื่อเรียกความสนใจสาธารณะชนโดยไร้หัวใจ ใช่หรือไม่ โลกวันนี้เรามักตัดสินคนอื่นในมุมที่เรายึดถือ
แล้วคิดว่ามุมนี้แหละดีสุด สว่างสุด สะอาดสุด โลกเราจึงดูเหมือนหยุดนิ่งปล่อยให้ทุกสิ่งเคลื่อนไป
บางคนมีรูปร่างหน้าตาโหดร้าย น่ากลัว แต่จริง ๆ แล้วภายในจิตใจของเขาอาจเป็นคนที่อ่อนโยนได้ บางคนมีรูปร่างหน้าตา
น่ารัก หล่อ สวย แต่จริง ๆ แล้วภายในจิตใจเขาอาจจะเป็นคนชั่วร้ายได้ใครจะไปรู้
อากงแก่ ๆ
คนหนึ่ง
รับหน้าที่เลี้ยงดูหลานที่กำลังอยู่ในวัยซนทั้งสี่ หลานทั้งสี่ก็เล่นกันบ้าง
ตีกันบ้างตามประสาเด็ก แต่ครั้งหนึ่งรุนแรงจนถึงขนาดที่อากงต้องออกโรงห้ามปราม เมื่ออารมณ์ทุกฝ่ายสงบลง
อากงจึงเรียกหลาน ๆ มาล้อมโต๊ะคุยกัน
อากงบอก “เอาล่ะหลาน
ๆ หลับตานะ หลับตา” พอหลาน ๆ หลับตา
อากงก็เดินกลับเข้าไปห้องเก็บของแล้วหยิบตะเกียงเก่า ๆ
ออกมาอีกอันหนึ่ง อากงเปิดฝาครอบ จุดไฟ แล้วปิดฝาครอบ
จากนั้นก็บอกหลานทั้งสี่ให้ลืมตา “บอกซิว่าโคมไฟสีอะไร” เด็กทั้งสี่ลืมตาขึ้น เห็นเปลวไฟในตะเกียงสี
ต่างแย่งกันตอบ คนที่นั่งด้านหนึ่งบอกว่า “สีแดง” อีกด้านหนึ่งบอก “สีเขียว” อีกด้านหนึ่งบอก “สีเหลือง” และอีกด้านหนึ่งเห็น “สีน้ำเงิน”
จากคำตอบเล็ก ๆ
กลายเป็นเสียงถกเถียง และเริ่มทะเลาะกันอย่างรุนแรงขึ้นอีกครั้ง จนเกือบกลายเป็นกรณีพิพาท อากงนิ่ง
ปล่อยให้อารมณ์ราวกับพายุของหลานทั้งสี่เริ่มสงบลง
หลานคนหนึ่งจึงเอ่ยปากถามว่า “อากง ของอย่างเดียวกันทำไมจึงมีตั้งหลายสี ?” อากงยิ้มแล้วบอกว่า “อากงจะทำอะไรให้ดู” อากงเดินไปที่โต๊ะหยิบฝาครอบตะเกียงออก
แล้วหมุนฝาครอบนั้นให้หลาน ๆ ดูปรากฏว่าฝาครอบตะเกียงนั้น ทั้งสี่ด้าน
มีสีที่แตกต่างกันไป สีแดง สีเหลือง สีเขียว สีน้ำเงิน
อากงถามอีกว่า “คราวนี้บอกอากงซิว่า
เห็นตะเกียงเป็นสีอะไร ?” “สีของไฟ” หลาน ๆ ตอบเป็นเสียงเดียวกัน “อากงขอถามอะไรสักสองข้อ
เมื่อสักครู่นี้ใครตอบผิด ?” หลาน ๆ ตอบโดยพร้อมเพรียงกัน “ไม่มีใครผิด” อากงจึงกล่าวต่อไปว่า..... “เจ้าทั้งสี่นั่งอยู่ในที่เดียวกัน มองของอย่างเดียวกันในเวลาเดียวกัน
ยังเห็นไม่เหมือนกัน นั่นก็เพราะคนทุกคนมองตะเกียง
จากมุมมองของตัวเองมองในสิ่งที่ตัวเองเห็นและก็เชื่อมั่นในสิ่งที่เห็น แต่ถ้าเจ้าอยากรู้ว่า
ทำไมคนอื่นจึงเห็นไม่เหมือนเรา แตกต่างกับเรา ก็จงเดินไปดูที่มุมของเขา
แล้วเราก็จะรู้ จะเข้าใจว่า เขาเห็นอย่างไร เห็นและคิดได้อย่างที่เขาเห็น”
“ต่อไปในอนาคต เวลาที่พวกหลาน ๆ ต้องเข้าไปอยู่ในสังคม
จะต้องพบคนต่าง ๆ มากมายที่มองสิ่งเดียวกัน แต่กลับเห็นไม่เหมือนกัน
เพราะมีมุมมองที่แตกต่างกัน ก็อย่าไปโกรธเขา เพราะนั่นเป็นเพียงแต่เป็นการมองต่างมุมไม่มีใครถูกไม่มีใครผิดและอย่าไปกลัวว่า
ตัวเองจะผิดที่มองไม่เห็นเหมือนคนอื่น เพราะแต่ละคนก็จะมองเห็นสิ่งต่าง ๆ
ด้วยขอบข่ายจากประสบการณ์ และจากสิ่งแวดล้อมของตนเอง ถ้าเราอยากเข้าใจว่า
ทำไมคนอื่นถึงคิดแบบนั้น เห็นแบบนั้น ก็จงเดินไปที่มุมของเขา
เราก็จะรู้ว่าเขาคิดอะไร ทำให้เราเข้าใจคนอื่นได้มากขึ้น
และเมื่อเราเข้าใจคนอื่นมากขึ้น จะทำให้คนอื่นยอมที่จะเดินมาและเข้าใจหลานเช่นกัน”
ภาพ : http://smilefilmmy.exteen.com/images/899.jpg |
หลายสิ่งหลายคนที่เราเห็นการกระทำของเขาวันนี้
เราต้องหัดมองผู้คนในมุมที่แตกต่าง
ต้องมีการช่างใจและใช้สำนึกแห่งการเป็นลูกพระที่มีความเท่าเทียมกัน
เราไม่มีหน้าที่จะตัดสินใครแต่ควรใช้การตักเตือนแบบสร้างสรรค์จะดีกว่า สิ่งที่พูดออกจากปากเราอย่าให้มันกลายเป็นของเสีย
สิ่งที่ออกจากความคิดเราอย่าให้เป็นมลพิษเลย เพราะหากเราเห็นด้วยตาอาจจะไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป
ใจที่สุขคือใจที่มองผู้อื่นอย่างชื่นชม....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น